บรรยายโดย ศาสตราจารย์พิเศษกิตติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์ ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
“เราเป็นกรรมการอิสระ…หรือเป็นอิสระจากการเป็นกรรมการ?”
ในโครงการ Director Mentorship Program ที่ทาง IOD จัดขึ้นเป็นรุ่นด้วยตั้งใจที่จะสร้างกรรมการรุ่นใหม่ที่มีโอกาสได้เรียนรู้จากกรรมการรุ่นใหญ่ที่มีประสบการณ์สูงในบรรยากาศที่เป็นกันเอง โดยเฉพาะคำถามเจาะลึกที่ไปถามกันข้างนอกอาจจะไม่ได้ ใน Session แรก เราได้ศาสตราจารย์พิเศษกิตติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์ ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ให้เกียรติมาเป็นแขกรับเชิญเป็น Mentor ท่านแรกที่มาให้ความรู้ในเรื่องของ Family Business – Best Practice for Board
ธุรกิจครอบครัวถือเป็นรากฐานสำคัญของระบบเศรษฐกิจไทย เป็นที่ทราบกันดีว่ากว่า 80% ของธุรกิจในประเทศไทยเป็นธุรกิจครอบครัว ได้เน้นย้ำความสำคัญของการมีกรรมการอิสระที่มีประสิทธิภาพในการขับเคลื่อนธุรกิจครอบครัวสู่ความยั่งยืน อาจารย์กิตติพงศ์กล่าวว่า ก่อนตัดสินใจรับตำแหน่งกรรมการอิสระในธุรกิจครอบครัว ควรตั้งคำถามกับตัวเองว่า โดยเน้นว่าควรมองการเป็นกรรมการอิสระเป็นโอกาสในการสร้างประโยชน์ ไม่ใช่เพียงเพื่อค่าตอบแทนจากการประชุม อาจารย์ยังเน้นย้ำว่าไม่ควรมองการเป็นกรรมการเป็นอาชีพ แต่ควรมองเป็นงานบริการสาธารณะ (public service) เหมือนการทำงานให้กับองค์กรอย่างสภากาชาดไทย ที่มุ่งประโยชน์ส่วนรวมเป็นหลัก
การสร้างความไว้วางใจในธุรกิจครอบครัว
ความไว้วางใจเป็นรากฐานสำคัญของธุรกิจครอบครัว “เค้าจะ trust คุณได้ คุณต้องทำให้เค้า trust” การสร้างความไว้วางใจต้องอาศัยความโปร่งใส ความซื่อสัตย์ และการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ ธุรกิจครอบครัวต้องมีการพูดคุยกันอย่างเปิดเผยและตรงไปตรงมา “ธุรกิจครอบครัวต้องคุยกัน” การปิดบังข้อมูลหรือการสื่อสารที่ไม่ชัดเจนจะนำไปสู่ความขัดแย้งและความไม่ไว้วางใจในระยะยาว อาจารย์ได้เน้นถึงความสำคัญของ integrity หรือความซื่อตรง ในการสร้างความไว้วางใจ กรรมการต้องทำตัวให้เป็นที่น่าเชื่อถือและไว้วางใจได้ในทุกด้าน
ปัญหาหลัก 10 ประการของธุรกิจครอบครัวไทย
ศาสตราจารย์กิตติพงศ์ได้ระบุปัญหาหลัก 10 ประการที่ธุรกิจครอบครัวไทยมักเผชิญ:
- การจัดโครงสร้างครอบครัว (Family Structure) ธุรกิจครอบครัวไทยมักขาดการวางโครงสร้างบริษัทที่เหมาะสมและขาดการจัดระบบโครงสร้างผู้ถือหุ้นที่รอบคอบ ส่งผลให้ไม่มีการคาดการณ์ถึงความเสี่ยงทางกฎหมายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
- การจัดทำพินัยกรรมและเอกสารสำคัญ หลายธุรกิจครอบครัวขาดเอกสารทางกฎหมายที่สำคัญ เช่น พินัยกรรม สัญญาก่อนสมรส หรือธรรมนูญครอบครัว ทำให้ไม่มีกลไกการเลือกผู้สืบทอดธุรกิจที่ชัดเจน บางครั้งสมาชิกในครอบครัวอาจไม่อยากทำพินัยกรรมเพราะมีความเชื่อว่าเป็นการแช่งตัวเอง
- กลไกการจัดสรรผลประโยชน์และความเป็นเจ้าของ การจัดสรรความเป็นเจ้าของในธุรกิจครอบครัวจำเป็นต้องมีความเป็นธรรมและยุติธรรม รวมถึงการจัดสรรผลประโยชน์ต่างๆ ต้องมีความถูกต้องและเหมาะสมกับบทบาทและความรับผิดชอบของแต่ละคน
- การสื่อสารและแลกเปลี่ยนข้อมูล การวิจัยทางธุรกิจพบว่าความเสื่อมถอยของธุรกิจครอบครัวส่วนใหญ่เกิดจากการขาดการสื่อสารระหว่างเจ้าของธุรกิจและสมาชิกในครอบครัว รวมถึงประเด็นการส่งมอบธุรกิจให้กับทายาท ความไว้วางใจ และการรับฟัง วัฒนธรรมไทยที่มักเชื่อในอำนาจของพ่อแม่อาจทำให้การสื่อสารเป็นไปได้ดีในขณะที่พ่อแม่ยังมีชีวิตอยู่ แต่หากไม่มีเอกสารทางกฎหมายรองรับเมื่อพ่อแม่เสียชีวิต ย่อมนำมาสู่ปัญหาข้อขัดแย้งได้
- การแยกความแตกต่างระหว่างธุรกิจและครอบครัว สมาชิกในครอบครัวที่เติบโตมาด้วยกันมักมีความยากลำบากในการแยกแยะระหว่างประเด็นทางธุรกิจกับเรื่องความสัมพันธ์ในครอบครัว การมีธรรมนูญครอบครัวจะช่วยกำหนดกรอบและลดปัญหาความขัดแย้งในประเด็นนี้ได้
- การวางแผนการสืบทอดธุรกิจ (Succession Planning) ปัญหาการวางแผนสืบทอดธุรกิจเป็นปัญหาทั่วไปในทุกธุรกิจ โดยเฉพาะในธุรกิจครอบครัว ผู้ก่อตั้งมักไม่ปล่อยวางและมีความกังวลว่าคนรุ่นหลังอาจไม่มีความสามารถเพียงพอ มีความกลัวการสูญเสียอำนาจ หรือไม่เชื่อมั่นว่าผู้ที่จะรับมอบธุรกิจจะนำพาองค์กรให้อยู่รอดได้
- นโยบายการจ้างงานสมาชิกในครอบครัว สมาชิกในครอบครัวที่เข้ามาทำงานในธุรกิจอาจไม่มีความสามารถที่เหมาะสม ในขณะที่คนที่มีความสามารถกลับไม่ได้รับโอกาสในตำแหน่งที่เหมาะสม การวางกรอบและเงื่อนไขสำหรับสมาชิกในครอบครัวที่จะเข้ามาทำงานจึงมีความสำคัญ เช่น การกำหนดเรื่องการฝึกงาน หรือกระบวนการประเมินความสามารถก่อนเข้าสู่ตำแหน่งสูง เพื่อป้องกันการเกิดความขัดแย้ง
- การขาดมืออาชีพหรือกรรมการอิสระ ธุรกิจครอบครัวส่วนใหญ่มักให้น้ำหนักกับความสามารถของสมาชิกในครอบครัวมากกว่าบุคคลภายนอกหรือมืออาชีพ ในขณะที่ธุรกิจครอบครัวที่ประสบความสำเร็จมักรู้จักใช้ประโยชน์จากมืออาชีพในการสร้างเครือข่าย โอกาสทางธุรกิจ รวมถึงการเป็นโค้ชหรือเมนเตอร์ให้กับสมาชิกครอบครัว
- มาตรการบริหารความเสี่ยง เหตุการณ์ไม่คาดฝันสามารถเกิดขึ้นได้เสมอ หากไม่มีมาตรการบริหารความเสี่ยงที่ชัดเจน สมาชิกในครอบครัวอาจไม่ทราบว่าควรดำเนินการอย่างไรเมื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน การตัดสินใจโดยขาดความรอบคอบอาจนำไปสู่การขัดแย้งกับข้อตกลงหรือกฎหมาย ซึ่งสามารถก่อให้เกิดความขัดแย้งภายหลังได้
- การวางแผนกลยุทธ์และบริหารความเสี่ยงองค์รวม ธุรกิจครอบครัวจำเป็นต้องมีการวางแผนกลยุทธ์ที่ครอบคลุมทั้งมิติธุรกิจและครอบครัว การบริหารความเสี่ยง การบริหารต้นทุน และการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ทางธุรกิจเพื่อรับมือกับสภาพแวดล้อมที่มีความผันผวนสูง กระบวนการเหล่านี้ควรดำเนินการอย่างสม่ำเสมอและมีการสื่อสารให้ทั่วถึงในทุกระดับ
เมื่อถามว่าอะไรคือปัญหาที่ยากลำบากที่สุดจากประสบการณ์ของอาจารย์ ศาสตราจารย์กิตติพงศ์ตอบว่า “Communication” หรือการสื่อสารระหว่างสมาชิกในครอบครัวเป็นสิ่งที่ยากที่สุด เนื่องจากปัญหาการสื่อสารมักเป็นรากฐานของความขัดแย้งต่างๆ ที่เกิดขึ้น อาจารย์สังเกตว่าเจ้าของธุรกิจมักจะชอบสั่งการแต่ไม่ค่อยรับฟัง ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการพัฒนาธุรกิจ
โมเดลสามวงกลมแห่งธุรกิจครอบครัว
แนวคิดสำคัญที่ศาสตราจารย์กิตติพงศ์นำเสนอคือ “สามวงกลมแห่งธุรกิจครอบครัว” (The Three Circle Model) ซึ่งประกอบด้วย:
- วงกลมความเป็นเจ้าของ (Ownership)
- วงกลมครอบครัว (Family)
- วงกลมธุรกิจ (Business)
จากการทำแผนภูมิ Van’s diagram โดยใช้วงกลมทั้งสามก็จะสามารถสร้างกลุ่มของผู้ที่มีความเกี่ยวข้องในธุรกิจครอบครัวออกไปได้ถึงเจ็ดกลุ่มตามมิติต่างๆ ให้คนทั้งเจ็ดกลุ่มมีความเห็นพ้องต้องการมีความสุขกับสิ่งที่เกิดขึ้นคงเป็นเรื่องที่ไม่ได้ทำได้อย่างง่ายง่าย ในจุดตัดของวงกลมทั้งสาม จะพบบุคคลที่มีคุณสมบัติครบทั้งสามด้าน คือเป็นเจ้าของ เป็นสมาชิกครอบครัว และเป็นผู้บริหารธุรกิจด้วย อย่างไรก็ตาม ไม่ควรละเลยกลุ่มบุคคลในส่วนอื่นๆ ที่อยู่ในวงกลมใดวงกลมหนึ่งหรือในจุดตัดระหว่างสองวงกลม เพราะทุกภาคส่วนล้วนมีบทบาทสำคัญต่อความสำเร็จของธุรกิจครอบครัว
ในประเด็นนี้ อาจารย์ตั้งคำถามสำคัญว่าองค์กรควรเป็น “family business” หรือ “business family” กล่าวคือ ครอบครัวควรเป็นศูนย์กลางของธุรกิจ หรือธุรกิจควรเป็นศูนย์กลางของครอบครัว ซึ่งแต่ละแนวทางล้วนมีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกัน อาจารย์ได้ยกตัวอย่างของธุรกิจครอบครัวที่ผู้นำครอบครัวให้สมาชิก vote ว่าจะทำธุรกิจใหม่ที่ธุรกิจยังไม่เคยทำมาก่อนดีหรือเปล่า เมื่อมีสมาชิกบางส่วนไม่เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยอย่างเป็นเอกฉันท์แต่ได้เสียงส่วนใหญ่ ผู้นำของธุรกิจของครอบครัว ตัดสินใจที่จะไม่ไปต่อ ‘เงินหาเมื่อไรก็ได้ แต่ขอเก็บความเป็นอันหนึ่งอันเดียวของสมาชิกครอบครัว เอาไว้ดีกว่า’ ย่อมเป็นการแสดงออกถึงสภาวะผู้นำที่ชัดเจน
การใช้ความกลัวเป็นเครื่องมือในการผลักดันให้เกิดการตัดสินใจที่สำคัญ
“Kingdom of Fear” หรืออาณาจักรแห่งความกลัว สามารถถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการกระตุ้นให้เจ้าของธุรกิจตัดสินใจในเรื่องที่ยากและท้าทาย โดยเฉพาะการส่งต่อธุรกิจให้กับคนรุ่นถัดไป ความกลัวในการสูญเสียมรดกทางธุรกิจที่สร้างมาด้วยเหงื่อแรง ความกลัวว่าธุรกิจจะไม่สามารถยืนหยัดได้ในยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว หรือความกลัวที่ธุรกิจจะถูกแบ่งแยกจากความขัดแย้งภายในครอบครัว สามารถเป็นแรงผลักดันให้เจ้าของธุรกิจตระหนักถึงความสำคัญของการวางแผนสืบทอดธุรกิจอย่างเป็นระบบ
กรอบแนวคิด 6C Framework
กรอบแนวคิด 6C เพื่อการบริหารธุรกิจครอบครัวอย่างมีประสิทธิภาพ
ศาสตราจารย์กิตติพงศ์ได้พัฒนากรอบแนวคิด 6C เพื่อเป็นแนวทางในการบริหารธุรกิจครอบครัวให้มีประสิทธิภาพและยั่งยืน ประกอบด้วย:
- Corporate Structure – โครงสร้างบริษัทและการถือหุ้น การจัดโครงสร้างองค์กรของธุรกิจครอบครัวต้องได้รับการออกแบบอย่างรอบคอบ รวมถึงการกำหนดโครงสร้างการถือหุ้นที่เหมาะสม เพื่อสร้างความชัดเจนในการบริหารงานและลดความเสี่ยงทางกฎหมายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
- Compensation – ค่าตอบแทนและผลประโยชน์ การจัดสรรผลประโยชน์และค่าตอบแทนให้แก่สมาชิกในครอบครัว รวมถึงการกำหนดสัดส่วนความเป็นเจ้าของในการถือหุ้น ต้องมีความยุติธรรมและเป็นธรรม โดยไม่จำเป็นต้องเท่าเทียมกัน ตามหลัก “fair doesn’t mean equal” การจัดสรรควรคำนึงถึงบทบาท ความรับผิดชอบ และคุณค่าที่แต่ละคนสร้างให้กับธุรกิจ
- Communication – การสื่อสาร การขาดการสื่อสารระหว่างสมาชิกในครอบครัวเป็นปัญหาใหญ่ของธุรกิจครอบครัว สมาชิกครอบครัวควรมีการสื่อสารที่เปิดเผยและมีประสิทธิภาพในประเด็นสำคัญต่างๆ เช่น แนวทางการดำเนินธุรกิจ การตัดสินใจสำคัญ และการวางแผนหาผู้สืบทอดหรือผู้นำรุ่นถัดไป การสร้างช่องทางการสื่อสารที่เปิดกว้างจะช่วยป้องกันความขัดแย้งและความเข้าใจผิด
- Conflict Resolution – การระงับข้อพิพาท แม้จะมีการจัดโครงสร้างที่ดี มีการกำหนดค่าตอบแทนที่เหมาะสม และมีการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ ความขัดแย้งก็ยังสามารถเกิดขึ้นได้ในธุรกิจครอบครัว จึงควรมีการกำหนดกระบวนการระงับข้อพิพาทระหว่างสมาชิกในครอบครัวอย่างชัดเจน ในกรณีนี้ กรรมการอิสระหรือกรรมการภายนอกสามารถทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการไกล่เกลี่ยได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- Care and Compassion – ความเอื้ออาทรและความกรุณา ศาสตราจารย์กิตติพงศ์มองว่าความเอื้ออาทรและความกรุณาเป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่สุด และเป็นคุณค่าที่ต้องได้รับการปลูกฝังตั้งแต่วัยเด็ก แม้ว่าธุรกิจจะมีโครงสร้างที่สมบูรณ์ มีระบบค่าตอบแทนที่ดี หรือมีกระบวนการแก้ไขความขัดแย้งที่มีประสิทธิภาพ แต่หากสมาชิกในครอบครัวไม่มีความเอื้ออาทรต่อกัน ธุรกิจก็ยากที่จะประสบความสำเร็จในระยะยาว
- Change – การเปลี่ยนแปลง เดิมทีศาสตราจารย์กิตติพงศ์ได้พัฒนาโมเดลที่มีเพียง 5C แต่ได้เพิ่ม C ตัวที่ 6 คือ Change ในภายหลัง การเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในโลกธุรกิจ ธุรกิจครอบครัวต้องพร้อมรับมือและปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงต่างๆ หากไม่สามารถปรับตัวได้ ธุรกิจอาจไม่สามารถอยู่รอด แต่หากสามารถปรับตัวได้ทันและมีความเป็นมืออาชีพเพียงพอ ก็จะสามารถใช้ต้นทุนความเป็นครอบครัวเป็นจุดแข็งในการเสริมความแข็งแกร่งและสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน
กรอบแนวคิด 6C นี้จึงเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจครอบครัวสามารถบริหารจัดการความท้าทายต่างๆ และสร้างความสมดุลระหว่างมิติของครอบครัวและธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การบริหารธุรกิจครอบครัวตามหลักพุทธศาสนา
ในมิติของความเอื้ออาทรและความกรุณา (Care and Compassion) ศาสตราจารย์กิตติพงศ์ได้นำเสนอหลักธรรมทางพุทธศาสนาสองประการที่สามารถประยุกต์ใช้ในการบริหารธุรกิจครอบครัว:
- พรหมวิหาร 4 – ประกอบด้วย เมตตา (ความปรารถนาดี), กรุณา (ความสงสาร), มุทิตา (ความยินดีเมื่อผู้อื่นได้ดี) และอุเบกขา (ความวางเฉย)
- สังคหวัตถุ 4 – ประกอบด้วย ทาน (การให้), ปิยวาจา (วาจาที่ไพเราะ), อัตถจริยา (การประพฤติประโยชน์) และสมานัตตา (การวางตนสม่ำเสมอ)
อาจารย์ย้ำว่าการรู้จักพอเป็นสิ่งสำคัญในการดำเนินธุรกิจ การไม่โลภมากเกินไป (greed) และการมีความพอเพียงจะช่วยให้ธุรกิจครอบครัวเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน
การรับมือกับการเปลี่ยนแปลง
การเปลี่ยนแปลงเป็นอีกมิติสำคัญที่ธุรกิจครอบครัวต้องรับมือ ศาสตราจารย์กิตติพงศ์แบ่งประเภทของการเปลี่ยนแปลงออกเป็น 4 ด้าน:
- การเปลี่ยนแปลงในกฎหมายและกฎกติกา (Change of Laws and Regulations)
- การเปลี่ยนแปลงในสภาวะแวดล้อมทางธุรกิจ (Change of Business Environments)
- การเปลี่ยนแปลงในวิธีการดำเนินธุรกิจครอบครัว (Change of Action)
- การเปลี่ยนแปลงทางความคิด (Change of Thinking)
อาจารย์พบว่าหลายธุรกิจครอบครัวในไทยล้มเหลวเพราะไม่สามารถปรับตัวได้ทัน (adapt ไม่ทัน) ต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมทางธุรกิจ การลงทุนในธุรกิจใหม่ (new investment) จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ธุรกิจครอบครัวเติบโตและก้าวทันการเปลี่ยนแปลง
ความท้าทายในการหากรรมการที่เข้าใจธุรกิจครอบครัว
การหากรรมการที่มีคุณภาพและเข้าใจบริบทของธุรกิจครอบครัวเป็นเรื่องที่ยากมาก กรรมการมักถูกเชิญเข้ามาในบอร์ดบริหารเพราะความไว้วางใจ (Trust) แต่ความไว้วางใจเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอต่อการบริหารธุรกิจในยุคปัจจุบัน กรรมการต้องมีความเข้าใจในธรรมชาติของธุรกิจครอบครัว มีความรู้ความสามารถในการบริหารจัดการ และสามารถสร้างสมดุลระหว่างผลประโยชน์ของครอบครัวกับการเติบโตของธุรกิจ
บทบาทของประธานกรรมการในธุรกิจครอบครัว
ประธานกรรมการในธุรกิจครอบครัวมีบทบาทที่สำคัญและซับซ้อนมากกว่าเพียงการบริหารจัดการการประชุม แม้ว่า “ประธานกรรมการต้องช่วยบริหารเวลาการประชุม” จะเป็นหน้าที่พื้นฐาน แต่บทบาทที่สำคัญไม่น้อยไปกว่ากันคือการสังเกตและจัดการความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกในครอบครัว ประธานกรรมการต้องมีความละเอียดอ่อนในการรับรู้ถึงความตึงเครียด ความขัดแย้ง หรือความไม่เข้าใจกันที่อาจเกิดขึ้นระหว่างสมาชิกในครอบครัว และต้องทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการประสานความเข้าใจ เพื่อให้เกิดเอกภาพในคณะกรรมการ
ประธานกรรมการต้องสามารถอ่านความขัดแย้งในครอบครัว (read the conflict of the family) และสังเกตสัญญาณของข้อพิพาท (sign of disputes) ที่อาจเกิดขึ้น เพื่อหาทางแก้ไขก่อนที่จะลุกลามเป็นปัญหาใหญ่
บทบาทของที่ปรึกษาธุรกิจครอบครัว
ศาสตราจารย์กิตติพงศ์เน้นย้ำความสำคัญของที่ปรึกษาในธุรกิจครอบครัว โดยระบุว่าที่ปรึกษามีบทบาทสำคัญใน:
- การให้คำแนะนำและส่งเสริมกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจ
- การเป็นตัวกลางไกล่เกลี่ยข้อขัดแย้งระหว่างสมาชิกในครอบครัว
อาจารย์ยังเน้นว่าองค์กร IOD ควรมีการพัฒนาหลักสูตรเฉพาะสำหรับกรรมการธุรกิจครอบครัว เพื่อสร้างบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญในการบริหารจัดการธุรกิจครอบครัวโดยเฉพาะ
ประเด็นสำคัญสำหรับคณะกรรมการธุรกิจครอบครัว
ศาสตราจารย์กิตติพงศ์ได้กำหนดประเด็นสำคัญ 6 ข้อที่คณะกรรมการธุรกิจครอบครัวควรให้ความสำคัญ:
- การประสานกลยุทธ์ – เชื่อมโยงวิสัยทัศน์ระยะยาวของครอบครัวกับกลยุทธ์ธุรกิจ
- การจัดระบบธรรมาภิบาลแบบมืออาชีพ – สร้างโครงสร้างธรรมาภิบาลที่เป็นทางการและมีประสิทธิภาพ
- การวางแผนสืบทอดตำแหน่ง – วางแผนการสืบทอดธุรกิจอย่างเป็นระบบ
- ความยั่งยืนและความรับผิดชอบต่อสังคม – ส่งเสริมค่านิยมด้าน ESG (สิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล)
- องค์ประกอบของคณะกรรมการและความร่วมมือ – สร้างความร่วมมือระหว่างกรรมการทั้งที่เป็นสมาชิกครอบครัวและไม่ใช่
- ความสามารถในการปรับตัวต่อแนวโน้มระดับโลก – เตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงในระดับโลก
การสร้างสมดุลระหว่างตำนานกับนวัตกรรม
ศาสตราจารย์กิตติพงศ์ได้เน้นถึงความสำคัญของการสร้างสมดุลระหว่างตำนานธุรกิจครอบครัว (legacy) กับนวัตกรรม (innovation) ธุรกิจครอบครัวต้องรักษาคุณค่าและวัฒนธรรมดั้งเดิมที่เป็นเอกลักษณ์ของครอบครัว ขณะเดียวกันก็ต้องเปิดรับแนวคิดใหม่ๆ และการเปลี่ยนแปลงเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน
อาจารย์ยกตัวอย่างความสำเร็จของเซ็นทรัลกรุ๊ป ที่มีทั้งคณะกรรมการที่ดี (good board) และคณะกรรมการที่ยอดเยี่ยม (great board) ซึ่งสามารถผสมผสานระหว่างการรักษามรดกทางธุรกิจและการนำนวัตกรรมมาใช้ได้อย่างลงตัว
อย่างไรก็ตาม อาจารย์ได้เตือนว่าเมื่อธุรกิจครอบครัวเติบโตขึ้นและมีการจ้างมืออาชีพมาบริหารจัดการมากขึ้น อาจทำให้สูญเสียความเป็นครอบครัว (lose the sense of family) ได้ ดังนั้น จึงต้องมีการวางแผนอย่างรอบคอบเพื่อรักษาสมดุลระหว่างความเป็นมืออาชีพกับคุณค่าของครอบครัว
คุณสมบัติที่จำเป็นสำหรับกรรมการอิสระในธุรกิจครอบครัว
กรรมการในธุรกิจครอบครัวควรมีคุณสมบัติที่สำคัญหลายประการ:
- มีความรู้ความเชี่ยวชาญทางธุรกิจและการกำกับดูแลที่เข้มแข็ง
- เข้าใจความต้องการของครอบครัว (what family want)
- ความสามารถในการไกล่เกลี่ยความขัดแย้งในขณะที่รักษาความเป็นกลาง
- ความเข้าใจในพลวัตของครอบครัวและการเมืองภายใน
- ความเชี่ยวชาญในการวางแผนการสืบทอดตำแหน่งและการพัฒนาผู้นำ
- ความน่าเชื่อถือและความไว้วางใจจากสมาชิกในครอบครัว
- ความสามารถในการเป็นโค้ช ให้คำปรึกษา และวางแผนกลยุทธ์
- ความสามารถในการกำหนดกติกาและโครงสร้างการกำกับดูแลธุรกิจครอบครัว
- เป็นนักประนีประนอมที่ดี
- มีทักษะในการให้คำปรึกษาและการเป็นพี่เลี้ยง (mentoring)
การเตรียมตัวเป็นกรรมการธุรกิจครอบครัว
ก่อนเข้ารับตำแหน่งกรรมการในธุรกิจครอบครัว ควรมีการเตรียมตัวดังนี้:
- ศึกษาธุรกิจครอบครัวที่จะเข้าไปปฏิบัติหน้าที่อย่างละเอียด
- เข้าใจวิธีการสื่อสาร รับฟัง และการไกล่เกลี่ยของสมาชิกในครอบครัว
- ศึกษาด้านจิตวิทยาของสมาชิกในครอบครัวแต่ละคน
- เข้าใจความขัดแย้งทางผลประโยชน์ระหว่างสมาชิกครอบครัวและบริษัท
- พัฒนาทักษะการเป็นที่ปรึกษาและโค้ช
อาจารย์ได้เน้นถึงความสำคัญของการเข้าใจด้านจิตวิทยาของสมาชิกในครอบครัว เนื่องจากความสัมพันธ์ในครอบครัวมีพลวัตที่ซับซ้อนและแตกต่างจากความสัมพันธ์ในองค์กรทั่วไป กรรมการอิสระต้องเข้าใจและเคารพในความซับซ้อนเหล่านี้ เพื่อให้สามารถทำงานร่วมกับครอบครัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ