เมื่อ World Bank ชี้ทางสู่การหลุดพ้นจากกับดักรายได้ปานกลาง ด้วยบทเรียนจากเกาหลีใต้และสิงคโปร์ที่ไทยสามารถปรับใช้ได้
เมื่อพูดถึงเศรษฐกิจไทยในปี 2568 หลายคนอาจมองเห็นเพียงภาพความท้าทายและปัญหาต่างๆ ที่กำลังเผชิญอยู่ แต่ถ้าเราลองมองย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ เราจะพบว่าหลายประเทศที่ประสบความสำเร็จในวันนี้ เคยผ่านช่วงเวลาที่คล้ายคลึงกันมาแล้ว สิ่งที่ทำให้พวกเขาแตกต่างคือการเลือกที่จะมองวิกฤตเป็นโอกาส และการกล้าเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาที่เหมาะสม
สถานการณ์ปัจจุบัน: เศรษฐกิจไทยในภาวะ “economic malaise”
World Bank ได้ปรับลดคาดการณ์การเติบโต GDP ของไทยในปี 2568 จาก 2.9% เหลือเพียง 1.6% ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตต่ำที่สุดในภูมิภาคอาเซียน สถานการณ์นี้สะท้อนสิ่งที่นักเศรษฐศาสตร์เรียกว่า “economic malaise” หรือภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจที่ลึกซึ้งกว่าการชะลอตัวปกติ
ปรากฏการณ์ที่เห็นได้ชัดคือการหดตัวของการบริโภคในระดับรากหญ้า กำลังซื้อของกลุ่มคนรายได้ปานกลางลดลงถึง 40% ขณะที่ผู้ประกอบการร้านอาหารรายงานว่าลูกค้าหายไปอย่างเห็นได้ชัด นักท่องเที่ยวจีนที่เคยเป็นกำลังสำคัญของเศรษฐกิจลดลงจาก 3 ล้านคนเหลือเพียง 1 ล้านคน และภาคการผลิตก็แสดงสัญญาณอ่อนแอผ่านดัชนี PMI ที่ต่ำกว่า 50
แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงมากกว่าตัวเลขเหล่านี้คือการเกิดขึ้นของสิ่งที่เราอาจเรียกว่า “ธุรกิจเสื่อมประสิทธิภาพ” หรือองค์กรที่ไม่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้อย่างแท้จริง ธนาคารไทยพาณิชย์รายงานว่าธุรกิจประเภทนี้คิดเป็นสัดส่วนถึง 18.5% ของทั้งหมด และมีอีก 35.5% ที่มีความเสี่ยงจะกลายเป็นเช่นนั้น
บทเรียนจากปาฏิหาริย์แห่งแม่น้ำฮัน: เกาหลีใต้และการเปลี่ยนผ่านครั้งยิ่งใหญ่
ในปี 1953 หลังสงครามเกาหลี ประเทศเกาหลีใต้อยู่ในสภาพย่ำแย่ไม่แพ้ประเทศไทยในวันนี้ เมืองต่างๆ ถูกทำลาย ประชาชนยากจน และเศรษฐกิจพึ่งพาความช่วยเหลือจากต่างประเทศ แต่ในเวลาเพียง 30 ปี ประเทศนี้กลับกลายเป็นหนึ่งในเศรษฐกิจที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก ด้วยอัตราการเติบโต GDP เฉลี่ย 10% ต่อปีระหว่างปี 1962-1994
ความลับของความสำเร็จนี้อยู่ที่การทำงานร่วมกันระหว่างรัฐบาลและภาคเอกชนผ่านระบบ “chaebol” หรือกลุ่มธุรกิจครอบครัวขนาดใหญ่ รัฐบาลภายใต้การนำของ ปาร์ค จุง-ฮี ไม่ได้เพียงแค่ปล่อยให้ตลาดทำงานเอง แต่เลือกที่จะสนับสนุนบริษัทที่มีศักยภาพอย่างเป็นระบบ ให้การเข้าถึงเงินทุน ปกป้องจากการแข่งขันจากต่างประเทศในช่วงแรก และส่งเสริมการส่งออก
สิ่งที่น่าสนใจคือเกาหลีใต้ไม่ได้เริ่มต้นด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง แต่เริ่มจากอุตสาหกรรมแรงงานเข้มข้น เช่น สิ่งทอ วิก และอุตสาหกรรมเบา จากนั้นจึงค่อยๆ ยกระดับไปสู่อุตสาหกรรมหนัก เคมี และในที่สุดก็เป็นอิเล็กทรอนิกส์และเทคโนโลยีขั้นสูง
แบบอย่างสิงคโปร์: การเปลี่ยนแปลงจากเมืองท่าสู่ศูนย์กลางการเงินโลก
สิงคโปร์เป็นอีกตัวอย่างที่น่าสนใจสำหรับประเทศไทย เมื่อแยกตัวจากมาเลเซียในปี 1965 สิงคโปร์เป็นเพียงเมืองท่าเล็กๆ ที่ไม่มีทรัพยากรธรรมชาติ มี GDP ต่อหัวเพียง 300 เหรียญสหรัฐ และมีปัญหาการว่างงานสูง
ลี กวน ยู นายกรัฐมนตรีคนแรกของสิงคโปร์ ได้วางกลยุทธ์ที่เรียบง่ายแต่มีประสิทธิภาพ เขาเน้นการพัฒนาทุนมนุษย์เป็นหลัก โดยการปฏิรูปการศึกษาให้สอดคล้องกับความต้องการของเศรษฐกิจ การสร้างสถาบันการศึกษาเทคนิคและอาชีวศึกษา และการส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต
สิ่งที่สำคัญคือสิงคโปร์เลือกที่จะเปิดรับการลงทุนจากต่างประเทศอย่างเต็มที่ ในขณะที่หลายประเทศในช่วงทศวรรษ 1960-1970 กลับปฏิเสธนักลงทุนต่างชาติ ลี กวน ยู มองเห็นโอกาสและกล้าที่จะแตกต่าง เขาเชิญชวนบริษัทข้ามชาติมาตั้งฐานการผลิตในสิงคโปร์และส่งออกไปทั่วโลก
ผลลัพธ์คือใน 30 ปี GDP ต่อหัวของสิงคโปร์เพิ่มขึ้นจาก 500 เหรียญสหรัฐในปี 1965 เป็น 14,500 เหรียญสหรัฐในปี 1991 หรือเพิ่มขึ้นถึง 2,800%
จุดแข็งของไทยที่โลกมองข้าม
การเปรียบเทียบกับเกาหลีใต้และสิงคโปร์ทำให้เราเห็นได้ว่าประเทศไทยมีจุดแข็งที่สำคัญหลายประการที่อาจมองข้ามไป
ประการแรก ไทยมีตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ที่เป็นศูนย์กลางของอาเซียน เชื่อมต่อระหว่างเศรษฐกิจขนาดใหญ่ของจีนและอินเดีย ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบที่ทั้งเกาหลีใต้และสิงคโปร์ในอดีตไม่เคยมี
ประการที่สอง ไทยมีฐานอุตสาหกรรมที่หลากหลายแล้ว ตั้งแต่เกษตรกรรม อุตสาหกรรมการผลิต การท่องเที่ยว และบริการ ซึ่งแตกต่างจากเกาหลีใต้ที่ต้องเริ่มต้นใหม่หมด หรือสิงคโปร์ที่มีพื้นที่จำกัด
ประการที่สาม วัฒนธรรมไทยมีความยืดหยุ่นและการปรับตัวสูง ดังที่เห็นได้จากการผ่านพ้นวิกฤตต่างๆ มาได้ในอดีต
ประการที่สี่ ไทยมีระบบการศึกษาและโครงสร้างพื้นฐานที่ดีอยู่แล้ว เมื่อเทียบกับสิงคโปร์และเกาหลีใต้ในยุค 1960
กลยุทธ์ “3i” ที่ไทยสามารถนำมาใช้ได้
World Bank เสนอกลยุทธ์ “3i” สำหรับประเทศที่ต้องการหลุดพ้นจากกับดักรายได้ปานกลาง ซึ่งไทยสามารถประยุกต์ใช้โดยเรียนรู้จากเกาหลีใต้และสิงคโปร์
การลงทุนแบบ “Smart Investment” ไทยควรเน้นการลงทุนในสิ่งที่เรียกว่า “institutional capital” มากกว่าโครงสร้างพื้นฐานแบบเดิม ซึ่งหมายถึงการสร้างระบบการศึกษาที่เชื่อมโยงกับความต้องการของอุตสาหกรรม การพัฒนาทักษะแรงงานให้สอดคล้องกับเทคโนโลยีใหม่ และการสร้างสถาบันวิจัยและพัฒนาที่เข้มแข็ง
เกาหลีใต้สำเร็จเพราะลงทุนหนักในการศึกษา โดยเฉพาะด้านวิศวกรรมและเทคโนโลยี ขณะที่สิงคโปร์เน้นการสร้าง “lifelong learning culture” ที่คนทำงานสามารถพัฒนาทักษะใหม่ได้ตลอดเวลา
การถ่ายทอดเทคโนโลยีแบบ “Strategic Infusion” ไทยต้องเรียนรู้จากสิงคโปร์ในการเชิญชวนการลงทุนจากต่างประเทศอย่างเลือกสรร ไม่ใช่รับทุกอย่าง แต่เลือกเฉพาะที่จะช่วยยกระดับเทคโนโลยีและถ่ายทอดความรู้ให้กับคนไทย
สิ่งสำคัญคือต้องมีการปฏิรูปการแข่งขัน เหมือนที่เกาหลีใต้ทำหลังวิกฤตเอเชียปี 1997 โดยลดอำนาจของกลุ่มผลประโยชน์และเปิดโอกาสให้ผู้เล่นใหม่เข้ามาได้
การสร้างนวัตกรรมแบบ “Incremental Innovation” ไทยไม่จำเป็นต้องสร้างนวัตกรรมที่ล้ำสมัยที่สุดในโลกทันที แต่ควรเริ่มจากการปรับปรุงและพัฒนาสิ่งที่มีอยู่แล้วให้ดีขึ้น เหมือนที่เกาหลีใต้ทำกับอุตสาหกรรมรถยนต์และอิเล็กทรอนิกส์
สิงคโปร์แสดงให้เห็นว่าการเป็น “intelligent adopter” ที่เก่งในการนำเทคโนโลยีมาปรับใช้และต่อยอดก็สามารถประสบความสำเร็จได้
แผนปฏิบัติการสำหรับไทย: เรียนรู้จากประสบการณ์ที่สำเร็จ
จากบทเรียนของเกาหลีใต้และสิงคโปร์ ไทยสามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้ดังนี้
การสร้างพันธมิตรระหว่างรัฐและเอกชน เหมือนระบบ chaebol ของเกาหลีใต้ แต่ปรับให้เหมาะกับบริบทไทย โดยรัฐบาลควรเลือกสนับสนุนกลุ่มบริษัทไทยที่มีศักยภาพในการแข่งขันระดับโลก ให้การเข้าถึงเงินทุน เทคโนโลยี และตลาดใหม่
การพัฒนาทักษะแรงงานอย่างเป็นระบบ ตามแบบสิงคโปร์ โดยสร้างความร่วมมือระหว่างสถาบันการศึกษาและภาคอุตสาหกรรม ให้หลักสูตรตรงกับความต้องการจริง และมีระบบการเรียนรู้ตลอดชีวิตที่ช่วยให้คนทำงานปรับตัวกับเทคโนโลยีใหม่ได้
การใช้ข้อได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ ไทยควรเน้นการเป็นศูนย์กลางการผลิตและการบริการของภูมิภาค เหมือนที่สิงคโปร์เป็นศูนย์กลางการเงิน โดยใช้ตำแหน่งที่ตั้งและโครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่แล้วเป็นจุดขาย
การปฏิรูปการแข่งขันอย่างค่อยเป็นค่อยไป เรียนรู้จากทั้งเกาหลีใต้และสิงคโปร์ที่ใช้เวลาหลายทศวรรษในการปรับปรุงระบบ ไทยต้องอดทนและต่อเนื่องในการลดอุปสรรคต่อการแข่งขัน เปิดโอกาสให้ผู้เล่นใหม่ และสร้างระบบธรรมาภิบาลที่โปร่งใส
โอกาสเฉพาะหน้าที่ไทยควรคว้า
วิกฤตในปัจจุบันกลับเป็นโอกาสสำคัญที่ไทยสามารถใช้ประโยชน์ได้ เหมือนที่เกาหลีใต้ใช้วิกฤตเอเชียปี 1997 เป็นจุดเริ่มต้นการปฏิรูปครั้งใหญ่
โอกาสจากการเปลี่ยนแปลงห่วงโซ่อุปทาน สงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนทำให้หลายบริษัทมองหาฐานการผลิตใหม่ ไทยมีโอกาสดึงดูดการลงทุนเหล่านี้หากปรับปรุงระบบภาษี กฎระเบียบ และโครงสร้างพื้นฐาน
โอกาสจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี การพัฒนาของ AI และเทคโนโลยีดิจิทัลเปิดโอกาสให้ประเทศที่พัฒนาแล้วแซงหน้าไปข้างหน้าได้ หากรู้จักใช้เทคโนโลยีเหล่านี้อย่างชาญฉลาด
โอกาสจากการเปลี่ยนแปลงของผู้บริโภค ความต้องการผลิตภัณฑ์และบริการที่ยั่งยืน มีคุณภาพ และตอบสนองความต้องการเฉพาะบุคคลเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ SME ไทยสามารถทำได้ดีหากได้รับการสนับสนุนที่เหมาะสม
ทางออกสำหรับ SME ไทย: ปรับตัวหรือตกขบวน
สำหรับผู้ประกอบการ SME ที่คิดเป็น 99.5% ของธุรกิจไทย การเรียนรู้จากประสบการณ์ของเกาหลีใต้และสิงคโปร์สามารถนำมาปรับใช้ในระดับธุรกิจได้
การลงทุนในคนและเทคโนโลยีควรเป็นความสำคัญอันดับแรก เหมือนที่สิงคโปร์เน้นการพัฒนาทุนมนุษย์ SME ไทยต้องลงทุนในการฝึกอบรมพนักงาน การเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ และการสร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้ในองค์กร
การสร้างเครือข่ายและความร่วมมือเป็นสิ่งสำคัญ เหมือนระบบ chaebol ที่ประสานงานกันทั้งระบบ SME ไทยควรสร้างพันธมิตรกับคู่ค้า ผู้จำหน่าย และแม้แต่คู่แข่งเพื่อเพิ่มอำนาจต่อรอง
การมุ่งเน้นนวัตกรรมและการสร้างความแตกต่างจะช่วยให้รอดพ้นจากการแข่งขันด้วยราคา แต่ไม่จำเป็นต้องเป็นนวัตกรรมที่ซับซ้อน การปรับปรุงผลิตภัณฑ์ กระบวนการผลิต หรือการให้บริการให้ดีขึ้นก็ถือเป็นนวัตกรรมที่มีค่า
บทสรุป: จากภาวะถดถอยสู่จุดเริ่มต้นใหม่
ประสบการณ์ของเกาหลีใต้และสิงคโปร์แสดงให้เห็นว่าไม่มีประเทศใดที่ต้อง “ติด” อยู่ในกับดักรายได้ปานกลางตลอดไป สิ่งที่สำคัญคือการมีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน ความกล้าในการเปลี่ยนแปลง และความอดทนในการดำเนินนโยบายระยะยาว
เศรษฐกิจไทยในปี 2568 อาจกำลังอยู่ในภาวะถดถอย แต่นี่อาจเป็นช่วงเวลาสำคัญที่จะกำหนดอนาคตของประเทศในทศวรรษต่อไป การเลือกที่จะมองวิกฤตเป็นโอกาส การเรียนรู้จากประสบการณ์ของประเทศที่สำเร็จ และการปรับตัวอย่างมีแผนจะช่วยให้ไทยก้าวข้ามความท้าทายนี้ได้
ดังที่ลี กวน ยู เคยกล่าวไว้ว่า “สิ่งสำคัญไม่ใช่ว่าคุณเริ่มต้นการเดินทางอย่างไร แต่เป็นว่าคุณไปถึงจุดหมายได้อย่างไร” เศรษฐกิจไทยมีศักยภาพและจุดแข็งพอที่จะสร้างปาฏิหาริย์ของตัวเองได้ หากเรารู้จักใช้ภูมิปัญญาและบทเรียนจากประสบการณ์ของผู้อื่นมาผสมผสานกับจุดแข็งที่เป็นเอกลักษณ์ของเราเอง
การเปลี่ยนผ่านครั้งนี้จึงไม่ใช่เพียงการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ แต่เป็นการสร้างรากฐานใหม่ที่จะทำให้ไทยเติบโตอย่างยั่งยืนและมั่นคงในอนาคต
บทความนี้จัดทำจากการศึกษาวิเคราะห์ข้อมูลจาก World Bank, กรณีศึกษาการพัฒนาเศรษฐกิจของเกาหลีใต้และสิงคโปร์ และรายงานวิชาการต่างๆ เกี่ยวกับการหลุดพ้นจากกับดักรายได้ปานกลาง