ครูผู้ตื่นรู้ Awakened Teacher

เมื่อถามครูกว่า 120 ท่านที่มาร่วมในงานว่า “คุณครูที่เป็นต้นแบบของเรา มีคุณสมบัติอย่างไร” คำตอบที่ได้สะท้อนความคาดหวังที่คุ้นเคย เช่น “สนุก” “ใจดี” “เข้าใจเด็ก” “ให้กำลังใจ” แต่ประเด็นที่น่าคิดไม่ใช่ว่าเรารู้คำตอบเหล่านี้หรือไม่ หากแต่เป็นว่าเรามีเส้นทางที่จะเดินไปถึงจุดนั้นได้อย่างไร

และที่สำคัญกว่านั้น เราต้องเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่า ถ้าเราล้มเหลวในการอยู่กับปัจจุบัน ล้มเหลวในการจดจ่อกับสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับนักเรียนที่อยู่ตรงหน้าเรา เราก็ล้มเหลวในฐานะครูไปแล้ว เราไม่ได้ทำหน้าที่ของครูอย่างแท้จริง นี่คือข้อความที่ผมอยากฝากไว้ตั้งแต่ต้น เพราะมันคือหัวใจของการเป็นครูผู้ตื่นรู้ (Awakened Teacher)

โลกที่กำลังเปลี่ยน และคำถามที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้

สถานการณ์การศึกษาของประเทศไทยในปัจจุบันสะท้อนความจำเป็นเร่งด่วนในการเปลี่ยนแปลง คะแนนสอบ PISA เลขและวิทยาศาสตร์ของเราอยู่ในลำดับท้ายๆ ตัวเลขเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงตัวเลขทางสถิติ แต่เป็นสัญญาณเตือนที่บอกเราว่าระบบการศึกษาต้องการการเปลี่ยนแปลงอย่างจริงจัง

แต่ที่ท้าทายกว่าตัวเลขเหล่านั้นอีคือการปฏิวัติของเทคโนโลยี AI ที่กำลังเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ในปี 2023 AI ได้แซงหน้ามนุษย์ไปแล้วในหลายด้าน บางงานตั้งแต่ปี 2015 AI ก็ทำได้ดีกว่าเราแล้ว เราเห็นสายงานต่างๆ เริ่มหายไปเพราะ AI สามารถเขียนคอนเทนต์ สร้างรูปภาพ วิเคราะห์ข้อมูล และสร้างกลยุทธ์ได้ดีกว่ามนุษย์ คำถามที่ครูทุกคนจึงต้องเผชิญหน้าคือ เราจะสอนอะไรในยุคที่ AI ไปไกลกว่าเราแล้ว ความเป็นมนุษย์ที่แท้จริงของเราอยู่ตรงไหน

ความสามารถในการตระหนักรู้ในปัจจุบัน สินทรัพย์ที่มีค่ามากที่สุดของเรา

ความสามารถในการอยู่กับปัจจุบันขณะ ซึ่งกลับกลายเป็นสิ่งที่หายากที่สุดสำหรับมนุษย์ในยุคนี้ เราทุกคนรู้ดีว่าเราไม่สามารถจดจ่อกับปัจจุบันได้นานเท่าไหร่ โลกของโซเชียลมีเดียต่างๆ ออกแบบมาเพื่อดึงความสนใจของเราออกไปตลอดเวลา ทั้งที่ความสนใจนี้แหละคือสิ่งที่มีค่าที่สุดของเรา เป็นสิ่งที่กำหนดว่าเราจะเป็นใครและจะสร้างสรรค์อะไรได้ในชีวิต

การเป็นครูไม่ใช่แค่การถ่ายทอดความรู้ แต่เป็นการสร้างความสัมพันธ์ที่แท้จริง การเห็นเด็กแต่ละคนในฐานะมนุษย์ที่มีคุณค่า มีความฝัน มีความกลัว มีศักยภาพที่รอการปลุกเร้า และเราจะทำสิ่งนี้ได้ก็ต่อเมื่อเราอยู่ที่นั่นจริงๆ ในปัจจุบันขณะนั้น

Self-Awareness รากฐานแรกของครูผู้ตื่นรู้

ก่อนที่เราจะเข้าใจนักเรียนได้ เราต้องเข้าใจตัวเองก่อน การรู้จักตัวเองหรือ Self-awareness นี้เป็นทักษะที่สำคัญที่สุดทักษะหนึ่ง เมื่อนักวิจัยถามว่าถ้าจะให้ทักษะเพียงทักษะเดียวแก่เด็ก ทักษะอะไรจะเป็นทักษะที่สำคัญที่สุด คำตอบคือ Self-awareness เพราะมันเป็นรากฐานของทักษะอื่นๆ ทั้งหมด และครูเองก็เช่นกัน ถ้าเราไม่รู้จักตัวเอง เราจะสอนเด็กให้รู้จักตัวเขาได้อย่างไร

เครื่องมือหนึ่งที่มีประโยชน์คือ HBDI หรือ Herrmann Brain Dominance Instrument ซึ่งแบ่งรูปแบบการคิดของเราออกเป็นสี่ส่วน เหมือนกับบ้านที่มีสี่ห้องโดยมีการเปรียบเทียบโดยใช้สีเพื่อให้จำได้ง่ายๆ ห้องสีน้ำเงินเป็นห้องของคนที่ชอบวิเคราะห์ ชอบตัวเลข ชอบความแม่นยำ มักจะถามว่า “มีหลักฐานรึเปล่า” “ตัวเลขบอกอะไร” ห้องสีเขียวเป็นห้องของคนที่ชอบโครงสร้าง ชอบการวางแผน ทำอะไรทีละขั้นตอน เป็นคนที่เชื่อถือได้และมีแนวทางชัดเจน ห้องสีแดงเป็นห้องของคนที่ชอบมนุษย์สัมพันธ์ ใส่ใจความรู้สึก มักจะเป็นคนอบอุ่นและสร้างบรรยากาศที่ดี ส่วนห้องสีเหลืองเป็นห้องของคนที่มีความคิดสร้างสรรค์ ชอบนวัตกรรม มองภาพรวม ไม่ชอบทำอะไรซ้าซาก ในความเป็นจริงเรามีห้องที่ชอบนั่งมากกว่าหนึ่งห้องและมีห้องที่อาจจะหลงลืมไปว่ามีอยู่ในบ้าน

แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ การเข้าใจในสิ่งเหล่าไม่ใช่เพื่อการยึดติดว่าเราเป็นสีไหนประเภทอะไรแต่เพื่อให้คุณครูระลึกเอาไว้ว่า ในห้องเรียนมีเด็กที่มีรูปแบบการคิดทั้งสี่แบบ ไม่ได้มีแต่เด็กที่เป็นแบบชอบสนุกเท่านั้น ถ้าเราสอนเด็กคนสีเหลืองด้วยวิธีที่เหมาะกับคนสีน้ำเงิน เขาจะรู้สึกเบื่อและไม่เข้าใจ ถ้าเราสอนเด็กคนสีน้ำเงินด้วยวิธีที่เหมาะกับคนสีเหลือง เขาจะรู้สึกว่าไม่มีโครงสร้างและงงงวย เราต้องปรับวิธีสอนให้เข้ากับพวกเขา ไม่ใช่บังคับให้ทุกคนเรียนรู้ด้วยวิธีเดียวกัน นี่คือเหตุผลที่การรู้จักตัวเองจึงเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญ เพราะเมื่อเราเข้าใจตัวเอง เราจึงสามารถปรับตัวเพื่อเข้าใจผู้อื่นได้

ครูกับภาระหน้าที่ที่หนักหน่วง และความหมายที่แท้จริงของความสำเร็จ

ครูทุกคนต้องเผชิญกับความท้าทายมากมายในชีวิตประจำวัน การบริหารเวลาเป็นเรื่องยาก เพราะเวลามีจำกัดแต่สิ่งที่ต้องทำมีมากมาย เด็กแต่ละคนก็แตกต่างกัน บางครั้งเราเองก็ไม่มีความพร้อมทางจิตใจ เราอาจจะมีปัญหาส่วนตัว มีความเครียด มีอารมณ์ที่ไม่ดี แต่เราต้องเข้าห้องเรียนอยู่ดี ทักษะของเราเองก็ต้องพัฒนาอยู่เสมอ และยังมีสิ่งแวดล้อมและสถานการณ์ต่างๆ ที่เราไม่สามารถควบคุมได้

แต่ท่ามกลางความท้าทายเหล่านี้ เมื่อถามครูทั้ง 120 ท่านว่า “ในบทบาทของความเป็นครู ความสำเร็จของเราจะวัดได้จาก” คำตอบที่ได้สะท้อนความหมายที่ลึกซึ้งของการเป็นครู คำตอบที่โดดเด่นที่สุดคือ “พัฒนาการของนักเรียน” “ผลลัพธ์” และ “ความเข้าใจของเด็ก”

ความสำเร็จของครูจึงไม่ใช่จำนวนชั่วโมงที่สอน ไม่ใช่จำนวนนักเรียนที่สอน ไม่ใช่เงินเดือนที่ได้รับ แต่ความสำเร็จอยู่ที่การเห็นเด็กเติบโต การเข้าใจและพัฒนาเด็กได้จริง การดูแลทั้งสมองและจิตใจ คำถามที่ครูทุกคนต้องถามตัวเองคือ เรารู้ไหมว่าเด็กที่อยู่ตรงหน้าต้องการคำแนะนำอะไร เขามีความฝันอะไร เขากลัวอะไร และที่สำคัญที่สุด เราสามารถดูแลพัฒนาการทางด้านสมองและจิตใจของเขาได้จริงไหม เราเป็นครูที่อยู่ในปัจจุบันกับเขาจริงๆ หรือเปล่า

การก้าวข้ามจาก Teaching ไปสู่ Learning

มีความแตกต่างที่สำคัญมากระหว่าง Teaching กับ Learning ซึ่งเป็นความแตกต่างที่กำหนดว่าเราจะเป็นครูแบบไหน Teaching เป็นการสอนที่เน้นครูเป็นศูนย์กลาง ครูเป็นผู้บรรยาย ผู้ถ่ายทอดความรู้ มันเป็นการสื่อสารทิศทางเดียวจากครูไปสู่นักเรียน นักเรียนนั่งฟัง จดบันทึก จำ แล้วก็สอบ นี่คือรูปแบบที่เราคุ้นเคยกันมาตั้งแต่เด็ก

แต่ Learning เป็นเรื่องที่แตกต่างไปจากนั้นโดยสิ้นเชิง Learning เป็นการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง เป็นการสร้างกระบวนการที่ให้เด็กได้ค้นพบ ได้ลงมือทำ ได้ทดลองผิดทดลองถูก ได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง ครูกลายเป็นผู้อำนวยความสะดวก เป็นผู้นำทาง เป็นผู้สนับสนุน มากกว่าเป็นผู้บรรยาย

คำถามที่สำคัญคือ เราสร้างบรรยากาศของ Learning ในห้องเรียนของเราจริงหรือไม่ เด็กในห้องของเราได้ลงมือทำจริงไหม ได้ทดลองไหม ได้ค้นพบด้วยตัวเองไหม หรือเราแค่บรรยายแล้วให้เขาจำ การเปลี่ยนจาก Teaching เป็น Learning ไม่ใช่เรื่องง่าย มันต้องการให้เรายอมปล่อยวางการควบคุม ยอมให้เด็กได้ลองผิดลองถูก ยอมใช้เวลามากขึ้นในการให้เด็กได้ค้นพบด้วยตัวเอง แต่ครูที่สามารถทำได้คือครูที่มีค่ามาก เพราะเขาไม่ได้แค่ถ่ายทอดความรู้ แต่เขาสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ที่เด็กจะจดจำได้ตลอดชีวิต เขาสร้างคนที่รู้จักคิด รู้จักแก้ปัญหา รู้จักเรียนรู้ด้วยตัวเอง

ภารกิจที่แท้จริงของครู มากกว่าการถ่ายทอดความรู้

การเป็นครูไม่ใช่แค่การสอนวิชาการ ไม่ใช่แค่การถ่ายทอดความรู้ด้านเทคนิค ภารกิจที่แท้จริงของครูลึกซึ้งกว่านั้นมาก ครูคือผู้ที่ให้แรงบันดาลใจให้แก่เด็ก ให้เด็กเห็นว่าอนาคตมีความหวัง ให้เด็กเชื่อว่าพวกเขาสามารถทำอะไรได้มากกว่าที่คิด ครูคือผู้ที่ฝึกสังคมและความมั่นใจ ให้เด็กกล้าที่จะเข้าสังคม กล้าที่จะแสดงออก กล้าที่จะเป็นตัวของตัวเอง

ครูคือผู้ที่สร้างความเชื่อมั่นให้เด็กเชื่อในศักยภาพของตัวเอง ให้ประสบการณ์ทั้งความสำเร็จและความล้มเหลว เพราะทั้งสองอย่างล้วนมีคุณค่า ความสำเร็จสอนให้เด็กรู้ว่าเขาทำได้ ความล้มเหลวสอนให้เด็กรู้ว่าการล้มเหลวเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้และเป็นโอกาสในการเติบโต ครูคือผู้ที่พัฒนาทักษะอนาคตให้กับเด็ก ไม่ใช่แค่ทักษะด้านเทคนิค แต่รวมถึงการคิดอย่างมีวิจารณญาณ การทำงานเป็นทีม การสื่อสาร การแก้ปัญหา การปรับตัว ทักษะเหล่านี้จะอยู่กับเด็กไปตลอดชีวิต ไม่ว่าโลกจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร

และครูคือผู้ที่เตรียมความพร้อมให้เด็กสำหรับโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลง โลกที่ AI กำลังเข้ามามีบทบาทมากขึ้น โลกที่งานหลายอย่างที่เราคุ้นเคยจะหายไป แต่งานใหม่ๆ ที่เราไม่เคยรู้จักจะเกิดขึ้น เราไม่สามารถสอนเด็กให้รู้ทุกอย่างได้ แต่เราสามารถสอนให้พวกเขารู้จักเรียนรู้ รู้จักปรับตัว รู้จักยืดหยุ่น และรู้จักอยู่กับความไม่แน่นอนได้

จุดยืนของความเป็นครู และพลังของการเปลี่ยนแปลง

สิ่งที่ทำให้โรงเรียนดีหรือไม่ดี ไม่ใช่ชื่อเสียง ไม่ใช่ทำเลที่ตั้ง ไม่ใช่อุปกรณ์ที่ทันสมัย หากแต่เป็นคุณภาพของครู นี่คือความจริงที่ไม่มีใครโต้แย้งได้ ครูที่ดีสามารถสอนได้แม้ในสภาพแวดล้อมที่ไม่สมบูรณ์ ครูที่ไม่ดีจะสอนไม่ได้ผลแม้จะมีทรัพยากรมากมาย

เราไม่ได้สอนเพียงสองชั่วโมง แต่เรามีโอกาสได้สัมผัสชีวิตของเด็กหลายสิบคน หลายร้อยคน และถ้าเราทำอะไรได้ให้ถูกต้อง ถ้าเราอยู่กับปัจจุบันอย่างแท้จริงกับพวกเขา ถ้าเราให้ความสำคัญกับสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขา เรามีโอกาสเปลี่ยนแปลงชีวิตของพวกเขา และถ้าครูแต่ละคนสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตของเด็กได้ เราก็มีโอกาสเปลี่ยนแปลงอนาคตของสังคม เปลี่ยนแปลงอนาคตของประเทศ

ทุกคนเคยเจอครูที่เปลี่ยนชีวิตเรา ครูที่ทำให้เราเชื่อในตัวเอง ครูที่เห็นศักยภาพในตัวเราตั้งแต่เมื่อเรายังไม่เห็น ครูที่ใช้เวลาเพื่อเราอย่างแท้จริง วันนี้เราก็มีโอกาสเป็นครูคนนั้นสำหรับเด็กคนอื่น และนั่นเป็นหน้าที่ที่ยิ่งใหญ่และมีความหมายที่สุดอย่างหนึ่งในชีวิต

เส้นทางสู่การเป็นครูผู้ตื่นรู้

การเป็นครูผู้ตื่นรู้เริ่มต้นจากการรู้จักตัวเอง ขั้นต่อมาคือการฝึกสติอยู่กับปัจจุบัน การจดจ่อกับเด็กที่อยู่ตรงหน้า การไม่ปล่อยให้จิตใจลอยไปไหน นี่ไม่ใช่เรื่องง่าย และไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้สมบูรณ์แบบตลอดเวลา แต่มันเป็นเรื่องที่เราสามารถฝึกฝนได้ และยิ่งฝึกมาก เราก็จะทำได้ดีขึ้น นี่คือทักษะพื้นฐานที่สำคัญที่สุดของครู เพราะถ้าเราไม่อยู่กับปัจจุบัน เราก็ไม่สามารถเป็นครูได้อย่างแท้จริง

แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดที่เราต้องจำไว้คือ ถ้าเราล้มเหลวในการอยู่กับปัจจุบัน ถ้าเราล้มเหลวในการให้ความสำคัญกับสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับนักเรียนของเรา เราก็ล้มเหลวในฐานะครูไปแล้ว เราไม่ได้ทำหน้าที่ของครูอย่างแท้จริง การเป็นครูไม่ใช่แค่การถ่ายทอดข้อมูล แต่เป็นการสร้างความสัมพันธ์ที่แท้จริง การเห็นคุณค่าในตัวเด็กแต่ละคน และการอยู่ที่นั่นจริงๆ กับพวกเขาในปัจจุบันขณะนั้น

เราไม่ได้อยู่ที่นี่เพื่อสอนแค่สองชั่วโมง เราอยู่ที่นี่เพื่อเปลี่ยนแปลงชีวิต เพื่อสร้างอนาคต เพื่อปลูกฝังความหวังให้กับเด็กรุ่นใหม่ของครอบครัว ของชุมชน ของประเทศ นี่คือภารกิจที่ยิ่งใหญ่และมีความหมาย และทุกวันที่เราเข้าห้องเรียน เราก็มีโอกาสที่จะทำภารกิจนี้ให้สำเร็จ

คำถามสุดท้ายที่เราต้องถามตัวเองคือ

เราพร้อมที่จะเป็นครูคนนั้นแล้วหรือยัง เราพร้อมที่จะอยู่กับปัจจุบันอย่างแท้จริงหรือยัง เราพร้อมที่จะเปลี่ยนชีวิตของเด็กคนหนึ่งหรือยัง และนั้นคือสิ่งที่ดีที่สุดและสำคัญที่สุดที่ครูทุกท่านสามารถให้กับนักเรียนของเรา

บทความจากการบรรยายพิเศษ “The Awakened Teacher” โดย ดร.ณัฐวุฒิ กุลนิเทศ ให้กับทาง ClickRobot Engineer Learning Center

Leave a Reply