Future-ful Leadership Timeless Wisdom for Tomorrow’s Challenge

Wisdom Leadership Circle: Futureful Leadership – Transcending Boundaries: Timeless Wisdom for Tomorrow’s Challenge

วันนี้ผมได้มีโอกาสเป็นผู้ดำเนินรายการในการเสวนา “Futureful Leadership – Transcending Boundaries: Timeless Wisdom for Tomorrow’s Challenge” โดยมีผู้ร่วมเสวนาดังนี้

• ดร.ศิริกุล เลากัยกุล I ผู้ก่อตั้งและผู้อำนวยการโครงการพอแล้วดี The Creator
• ศรินทร์รา วงศ์ศุภลักษณ์ Group Chief Human Resources Officer บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)
• อลิสรา ศิวยาธร CEO, โรงแรมศิวาเทล กรุงเทพ

Moderator: ดร.ณัฐวุฒิ กุลนิเทศ I Founder & CEO, ADGES

ผมขอแบ่งปันสาระสำคัญที่ทำให้เราเห็นว่าหลักคิดแบบเอเชียไม่เพียงยังทันสมัย แต่ยังเป็นพลังขับเคลื่อนองค์กรยุคใหม่อย่างน่าสนใจ

รากฐานความเชื่อที่หล่อหลอมผู้นำ

เริ่มต้นเสวนา ผมถามคำถามพื้นฐานเกี่ยวกับความเชื่อส่วนบุคคลของผู้ร่วมเสวนาแต่ละท่าน ซึ่งทั้งสามท่านสะท้อนให้เห็นว่าพื้นฐานความเชื่อทางพุทธศาสนาและภูมิปัญญาตะวันออก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องกฎแห่งกรรม “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” หลักความพอเพียง และการอยู่ร่วมกับธรรมชาติ ล้วนเป็นส่วนสำคัญที่หล่อหลอมตัวตนและแนวทางการทำงานของพวกเขา

น่าสนใจว่าความเชื่อเหล่านี้ไม่ใช่เพียงปรัชญาส่วนตัว แต่ได้ถูกนำมาประยุกต์ใช้อย่างเป็นรูปธรรมในการบริหารองค์กรขนาดใหญ่ในยุคปัจจุบัน ทำให้เห็นว่าแนวคิดดั้งเดิมที่หลายคนอาจมองว่าล้าสมัย กลับมีพลังในการขับเคลื่อนองค์กรสมัยใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ความเมตตา: แก่นหลักของวัฒนธรรมองค์กรยุคใหม่

คุณตรีผู้บริหารฝ่ายทรัพยากรบุคคลของกลุ่มบริษัททรู เล่าถึงข้อได้เปรียบขององค์กรที่มี CEO ที่ผลักดันแนวคิดการพัฒนาผู้บริหารโดยใช้หลักมรรคมีองค์แปด พร้อมทั้งสร้างระบบนิเวศที่เข้มแข็ง มีศูนย์ปฏิบัติธรรมเป็นของตัวเอง ซึ่งเป็นต้นทุนสำคัญในการพัฒนาผู้นำตามแนวทางพุทธศาสนา

คุณตรีเล่าถึงช่วงเวลาท้าทายในการบริหารการควบรวมกิจการของบริษัทโทรคมนาคมยักษ์ใหญ่ เมื่อเธอต้องเผชิญกับความกังวลใจในการตัดสินใจให้พนักงานบางส่วนออกจากงาน จนถึงขั้นต้องไปปรึกษาพระผู้ใหญ่ด้วยคำถามที่ว่า “เราทำกรรมหรือเปล่า?”

คำตอบที่ได้รับคือให้พิจารณาที่เจตนาและความจำเป็นขององค์กรโดยรวม หากทำด้วยความตั้งใจดีและเป็นไปเพื่อความอยู่รอดขององค์กร ก็ไม่ถือเป็นการทำกรรมที่ไม่ดี สิ่งสำคัญคือการดูแลผู้ได้รับผลกระทบอย่างดีที่สุดเท่าที่จะทำได้

การมีผู้นำสูงสุดที่เชื่อมั่นในหลักธรรม ได้นำไปสู่การสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่มี “ความเมตตา” (Compassion) เป็นหนึ่งในหลักสำคัญหลังการควบรวมกิจการ รวมถึงการมองประโยชน์ของประเทศชาติและผู้อื่นก่อนผลประโยชน์ของบริษัท

คุณตรีได้ฝากข้อคิดสำคัญสำหรับผู้ทำงานด้านทรัพยากรบุคคลว่า
“เราต้องรักในสิ่งที่เราทำ รวมถึงรักเพื่อนร่วมงานที่เราสร้างคุณค่าให้กับเขาด้วย”
เปรียบเสมือนการทำงานไปพร้อมกับการทำบุญ ซึ่งเป็นมุมมองที่ผสมผสานหลักธรรมเข้ากับการทำงานอย่างกลมกลืน

Profit with Purpose: การบูรณาการเป้าประสงค์และผลกำไร

พี่หนุ่ย (ดร.ศิริกุล เลากัยกุล) ผู้ก่อตั้งและผู้บริหารโครงการ “พอแล้วดี” นำเสนอมุมมองที่น่าสนใจเกี่ยวกับการนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงรัชกาลที่ 9 มาประยุกต์ใช้กับธุรกิจสมัยใหม่

พี่หนุ่ยเชื่อว่าการสร้างแบรนด์ไม่ควรมองเพียงแค่ความแตกต่าง แต่ต้องประเมินตัวตนของเราเอง เข้าใจจุดแข็งจุดอ่อน แล้วนำสิ่งเหล่านี้มาต่อยอด

พี่หนุ่ยอธิบายว่าแก่นแท้ของเศรษฐกิจพอเพียงประกอบด้วยสามองค์ประกอบหลักคือ

“ความพอประมาณ มีเหตุผล มีภูมิคุ้มกัน”

ซึ่งต้องอยู่บนพื้นฐานของความรอบรู้และคุณธรรม และเดินตามแนวทางสายกลาง หลักการเหล่านี้สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับธุรกิจทุกประเภท รวมถึงธุรกิจที่ทันสมัย โดยไม่จำเป็นต้องเป็นสินค้าหรือบริการที่ “เชย” หรือล้าสมัยทำแต่เกษตรกรรมแต่อย่างใด

เมื่อมีคำถามเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่าง “เป้าประสงค์” (Purpose) กับ “ผลกำไร” (Profit)

พี่หนุ่ยได้นำเสนอแนวคิดเรื่อง “Profit with Purpose” หรือผลกำไรที่สมบูรณ์ ซึ่งเป็นการบูรณาการระหว่างการสร้างผลกำไรและการบรรลุเป้าประสงค์ไปพร้อมกัน ธุรกิจสมัยใหม่ไม่ควรมองแค่กำไรขาดทุนเพียงอย่างเดียว แต่ควรตั้งคำถามว่า “เราจะส่งมอบประสบการณ์ สิ่งดีๆ สร้างมูลค่าให้กับลูกค้า คู่ค้าเราได้อย่างไร”

พี่หนุ่ยยังได้ให้คำขวัญของโครงการพอแล้วดีที่ว่า
“เมื่อพร่องต้องรู้จักเติม
เมื่อพอต้องรู้จักหยุด
เมื่อเกินต้องรู้จักปัน
พอแล้วดี”

ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงหลักคิดที่สมดุลและยั่งยืน โดยพี่หนุ่ยเชื่อว่าการเติบโตของธุรกิจและสังคมควรไปด้วยกัน เพราะแบรนด์ที่ยั่งยืนคือแบรนด์ที่สร้างสังคมให้ยั่งยืนด้วย

ความสุขในการทำงาน: กุญแจสู่ความสำเร็จที่ยั่งยืน

คุณหนิง CEO โรงแรมศิวาเทล กรุงเทพ ได้แบ่งปันประสบการณ์การนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาเป็นแนวทางในการบริหารโรงแรม โดยเฉพาะข้อที่ว่า “การทำงานต้องมีความสุข” ซึ่งคุณหนิงยึดถือเป็นหลักการสำคัญ

ทางโรงแรมได้พัฒนาระบบการวัดความสุขของพนักงานอย่างเป็นระบบใน 9 มิติ ได้แก่ Happy Body (สุขภาพกายดี), Happy Heart (น้ำใจดี), Happy Relax (ผ่อนคลายดี), Happy Soul (จิตวิญญาณดี), Happy Brain (ใฝ่รู้ดี), Happy Money (สุขภาพเงินดี), Happy Family (ครอบครัวดี), Happy Society (สังคมดี) และ Happy Work Life (การงานดี) โดยนำผลการประเมินมาใช้ในการพัฒนาองค์กรอย่างต่อเนื่อง

จากผลสำรวจล่าสุด พบว่าคะแนนเฉลี่ยความสุขขององค์กรอยู่ที่ 63.64% โดยด้านที่มีคะแนนสูงสุดคือ “น้ำใจดี” ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงวัฒนธรรมการช่วยเหลือเกื้อกูลกันภายในองค์กร ส่วนด้านที่ได้คะแนนน้อยที่สุดคือ “สุขภาพเงินดี” ซึ่งเป็นประเด็นที่ทางโรงแรมกำลังพัฒนาปรับปรุงต่อไป

แนวทางการบริหารโรงแรมของคุณหนิงไม่เพียงมุ่งเน้นความสุขของพนักงานเท่านั้น แต่ยังให้ความสำคัญกับการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า ชุมชนท้องถิ่น และสิ่งแวดล้อม ตามแนวคิด “Hotel of Happiness & Sharing” ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการบูรณาการหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเข้ากับการดำเนินธุรกิจโรงแรมอย่างเป็นรูปธรรม

พลังของภูมิปัญญาตะวันออกในโลกธุรกิจสมัยใหม่

การเสวนาครั้งนี้ได้เปิดมุมมองใหม่ของผมให้เห็นว่า ภูมิปัญญาตะวันออกที่มีรากฐานมาแต่โบราณนั้น ไม่เพียงยังคงทันสมัย แต่ยังเป็นทางออกสำหรับความท้าทายในโลกธุรกิจยุคปัจจุบัน

ไม่ว่าจะเป็นการบริหารองค์กรด้วยหลักความเมตตา การสร้างสมดุลระหว่างเป้าประสงค์และผลกำไร หรือการให้ความสำคัญกับความสุขในการทำงานอย่างเป็นองค์รวม ล้วนเป็นการประยุกต์ใช้ภูมิปัญญาตะวันออกที่สามารถสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันและความยั่งยืนให้กับธุรกิจ

บทเรียนสำคัญจากการเสวนาครั้งนี้คือ การผสมผสานระหว่างหลักการตะวันตกและตะวันออกอย่างสมดุล โดยไม่ปฏิเสธประโยชน์ของแนวคิดการบริหารแบบตะวันตก แต่เสริมด้วยหลักปรัชญาตะวันออกที่ให้ความสำคัญกับมิติทางจิตใจและความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์

ในโลกธุรกิจที่เต็มไปด้วยความผันผวนและความไม่แน่นอน การหวนกลับไปสู่รากฐานทางปรัชญาที่ยืนยงมาหลายพันปีอาจเป็นเข็มทิศที่ช่วยนำทางให้ธุรกิจก้าวเดินอย่างมั่นคงและยั่งยืน

ขอขอบคุณทาง PMAT สำหรับพื้นที่ในการพูดคุยกันเรื่อง Wisdom of Asia ครับ

Leave a Reply