Mindfulness Leader A to Z

เป็นผู้นำแห่งสติแล้วได้อะไร? สร้างองค์กรให้เป็นรมณีย์แล้วประโยชน์อยู่ตรงไหน?

เพราะฉะนั้น ถ้าเราจะมาชวนกันคิดดูว่า เราจะลองแบ่งปันในเรื่องของ “ผู้นำแห่งสติหรือ Mindful Leader” ถ้าเราเริ่มต้นจาก A ถึง Z มันจะมีมุมมองอะไรในการบริหารจัดการ อย่างสุดโต่งสองด้าน

  • ด้านแรก นั่นก็คือเน้นในเรื่องประสิทธิภาพ ความเร็ว ผลลัพธ์ที่จับต้องได้
  • ด้านที่สอง ก็คือยังเน้นในเรื่องประสิทธิภาพ แต่ก็ไม่ลืมการเป็นมนุษย์ ความรู้สึก จิตใจ และความสัมพันธ์ สร้างความเป็นรมณีย์

ถ้าพร้อมแล้วลองมาดูกัน “The Mindfulness Leader A to Z”

A – Artificial Intelligence vs Awareness

ข้อแรกในเรื่องของปัญญาประดิษฐ์ซึ่งเป็นอนาคตของการทำงานของมวลมนุษยชาติอย่างเรา แต่พื้นฐานที่สำคัญของการเป็นมนุษย์ เราไม่สามารถหลงลืมได้ในเรื่องของการตระหนักรู้ ในขณะที่ระบบการคิดสร้างปัญหาให้กับเรามากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของสุขภาพจิต แต่ในเรื่องของการตระหนักรู้ การอยู่เป็นปัจจุบัน ทำให้เราเข้าใจชีวิตได้ดีขึ้น

B – Bottom-line vs Belonging

เรื่องของผลลัพธ์ในการทำธุรกิจซึ่งมีความเร็ว ความเร่งรีบ ความคาดหวัง การปรับเปลี่ยน เพิ่มเติม แต่อย่างไรก็ตาม มนุษย์ที่อยู่ในส่วนหนึ่งของระบบ ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองมีส่วนร่วมไปมากกว่าผลลัพธ์ที่ได้กลับมาในแต่ละเดือน ในรูปแบบของตัวเงิน ในการขายเวลาเพื่อได้ทรัพยากรในการหาเลี้ยงชีพ

C – Command vs Compassion

รูปแบบของการบริหารจัดการในอดีตเชื่อมั่นในเรื่องของการควบคุมและสั่งการ เพราะความก้าวหน้าของมนุษย์บวกกับเทคโนโลยี อาจมีความก้าวหน้าอยู่ในระดับหนึ่ง เพราะฉะนั้นจำเป็นที่จะต้องมีผู้จัดการมืออาชีพที่คอยมาสร้างประสิทธิภาพในการทำงาน แต่ในโลกของการทำงานในอนาคต การเห็นอกเห็นใจ การมีเมตตาต่อกันและกัน เป็นสิ่งที่เรามองหาไม่ได้จากปัญญาประดิษฐ์ เราต้องสร้างความเข้าใจและเชื่อมั่นในสิ่งเหล่านี้ด้วยตัวของเราเอง

D – Directives vs Dialogue

การทำงานเรามักจะเชื่อในเรื่องของการสั่งการ ระบุให้ชัดเจนว่าผลลัพธ์ที่ต้องการคืออะไร เพราะเรามุ่งเน้นในเรื่องของประสิทธิภาพและความเร็ว ในการจัดการรูปแบบการทำงานในอนาคต จำเป็นที่จะต้องมีการพูดคุยและสร้างความเข้าใจกันมากขึ้น สิ่งเหล่านี้สะท้อนรวมถึงความคาดหวังของลูกค้าขององค์กร หมดสมัยแล้วที่องค์กรรู้ไปหมดว่าลูกค้าต้องการอะไร ถ้าองค์กรไม่ถาม องค์กรเองอาจจะหลงทางได้ง่ายๆ

E – Efficiency vs Empathy

ประสิทธิภาพในการทำงานสร้างผลกระทบในการที่จะรีบเร่งแข่งขัน หายใจเข้าหายใจออกด้วยประสิทธิภาพ ในการทำงานสร้างระบบความเครียดขึ้นมาเยอะแยะมากมาย แต่การเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน เป็นพื้นฐานที่สำคัญของการเป็นมนุษย์ เป็นพื้นฐานที่สำคัญที่สุดในการทำธุรกิจ ธุรกิจเองไม่สามารถอยู่ได้ถ้าปราศจากความเข้าใจความต้องการของลูกค้าอย่างแท้จริง

F – Forcing vs Fostering

การบังคับและการเกณฑ์ก็ยังเป็นมุมมองของการจัดการที่เชื่อว่าจำเป็นที่จะต้องมี ในการวางเป้าหมายในการทำงานอย่างชัดเจน และกำกับดูแลให้พนักงานทำอย่างที่เราต้องการ แต่ในขณะเดียวกัน ในอนาคตเราจะเริ่มเห็นว่า การเสริมสร้างความเข้าใจ การเห็นอกเห็นใจ การเข้าใจในเรื่องของทักษะ การพัฒนาทักษะอย่างต่อเนื่อง เป็นสิ่งที่ทำให้พนักงานรู้สึกผูกพันกับองค์กร เป็นสิ่งที่ช่วยเติมเต็มในเรื่องของระบบนิเวศของการมีนวัตกรรมขององค์กรให้เกิดขึ้นได้จริงๆ

G – Goals vs Growth 

แน่นอนว่าการทำงานในองค์กรควรจะมีเป้าหมาย แต่ถ้าวางเป้าหมายผิด เราก็จะเดินทางไปผิด ในการทำงานยุคปัจจุบันซึ่งดูเหมือนว่าจะมีตัวแปรสำคัญหลากหลายซึ่งเราไม่สามารถควบคุมได้ การเผื่อใจ การเปิดพื้นที่ให้ทุกคนมีการเติบโต ถือว่าเป็นการสร้างวัฒนธรรมขององค์กรที่มีความสำคัญที่จะทำให้องค์กรสามารถเจริญเติบโตได้ในอนาคต

H – Hierarchy vs Humanity

ระบบราชการ ขั้นตอน แผนผังองค์กรเป็นสิ่งที่รูปแบบการบริหารจัดการในอดีตให้ความสำคัญมาก ซึ่งเราก็จะเห็นว่าอะไรก็ตามที่ขาดความยืดหยุ่น มักที่จะไม่สามารถแข่งขันได้อีกต่อไปในอนาคต แต่ถ้าเรามองในเรื่องของความเป็นมนุษย์ซึ่งกันและกัน ใส่ใจ เข้าใจ ดูแล รู้ถึงความต้องการของบุคคล สร้างระบบนิเวศ สร้างวัฒนธรรมขององค์กรที่เห็นอกเห็นใจ แต่อย่างไรก็ตาม ก็ยังสามารถแข่งขันได้นั่นเอง อาจจะเป็นรูปแบบของการแข่งขันที่สำคัญและประสบความสำเร็จในอนาคต

I – Instructions vs Intuition

การวางระบบระเบียบ คำแนะนำ วิธีการปฏิบัติที่ไม่เหลือพื้นที่ให้คนได้ใส่ในเรื่องของความคิดสร้างสรรค์ คงเป็นระบบที่ไม่สามารถอยู่ได้ในอนาคต ซึ่งก็ต้องเข้าใจว่าหลายครั้งมาจากผู้บริหารเองที่เชื่อมั่นในเรื่องของการควบคุมและสั่งการมากจนเกินไป แต่ในขณะเดียวกัน ถ้าพนักงานในองค์กรมีวิสัยทัศน์ เข้าใจว่าองค์กรของเราตั้งขึ้นมาเพื่ออะไร อะไรเป็นวิสัยทัศน์ อะไรเป็นสิ่งที่ลูกค้าของเราให้ความสำคัญ เมื่อนั้นองค์กรเองอาจจะไม่ต้องจำเป็นที่ต้องไปพึ่งพาระบบระเบียบ รูปแบบการคิดที่ไร้ความยืดหยุ่นจนเกินไป

J – Judgment vs Journey

ในเรื่องของการตัดสิน องค์กรอาจจะมองในเรื่องของการตัดสินขาวดำแล้วก็วางบรรทัดฐานเสียจน พนักงานเองขาดความมั่นใจที่จะคิดและที่จะทำสิ่งใหม่ๆ แต่องค์กรในอนาคตจำเป็นที่จะต้องให้น้ำหนักในเรื่องของการลองผิดลองถูก หรือการเดินทางในการทำธุรกิจ หรือการเจริญเติบโตของปัจเจกบุคคล ซึ่งอาจจะไม่มีสูตรสำเร็จ แต่ทุกคนรู้สึกว่าได้มีส่วนร่วมและเป็นการสร้างสรรค์ระบบใหม่ๆ ขึ้นมาได้ด้วยตัวเราเองและคนที่เกี่ยวข้อง

K – KPIs vs Kindness

เป็นสิ่งที่ไม่น่าเชื่อว่า ทุกองค์กรเองมุ่งเน้นในเรื่องของการสร้างตัวชี้วัด แต่องค์กรเองก็สร้างตัวชี้วัดที่ไม่ได้ตอบโจทย์ธุรกิจในอนาคต เพียงแต่ว่าตอบโจทย์ธุรกิจในปัจจุบัน และการมองย้อนไปในอดีตเพื่อเปรียบเทียบว่าเกิดอะไรขึ้นในอดีตที่ผ่านมาและในปัจจุบัน ในขณะที่การสร้างตัวชี้วัดอาจจะมีความสำคัญ แต่เราอย่าหลงเป็นเหยื่อของการสร้างตัวชี้วัด หลายทีเป็นสิ่งที่เราบอกว่าสิ่งที่เราต้องการ เราต้องการคนที่มีสมาธิ แต่ระบบการวัดในองค์กรเป็นระบบที่สร้างความเครียด ในขณะเดียวกัน เราเคยวัดในเรื่องของการมีเมตตา การเอื้ออาทรซึ่งกันและกันหรือเปล่า เพราะสิ่งเหล่านี้ต่างหากที่อาจเป็นเครื่องยนต์หลักขององค์กรที่สามารถตอบโจทย์ทั้งในปัจจุบันและในอนาคตให้กับผู้ที่เกี่ยวข้องขององค์กรเราได้อย่างแท้จริง

L – Logic vs Love

ในเรื่องของหลักตรรกะ ถ้าอิงตามหลักตรรกะ เราก็เถียงกันไม่จบไม่สิ้น เรามักจะเถียงกันอย่างเอาเป็นเอาตายว่าอะไรถูกหรืออะไรผิด แต่ในขณะเดียวกัน เราเองอาจจะหลงลืมไปก็ได้ว่าสิ่งที่เราอาจจะไม่ให้ความสำคัญเท่าไหร่ก็คือความรู้สึกนึกคิด ความรักที่มีให้กันและกัน ซึ่งแนวคิดเหล่านี้ก็ต้องบอกจริงๆ ว่าในแวดวงของการบริหารจัดการ มักที่จะไม่ค่อยพูดถึงกันเท่าไหร่ พอพูดถึงเรื่องของความรัก ความเมตตา ก็มองว่าเป็นเรื่องที่อ่อนไหว เป็นเรื่องที่จะสะท้อนถึงการเป็นผู้นำที่อ่อนแอ ปวกเปียกไปเสียอีก แต่กลายเป็นว่าปัจจุบันนี้ เราก็ต้องใช้เวลากับเรื่องนี้ไม่น้อย

M – Metrics vs Mindfulness

การวัดความสำเร็จเป็นรูปแบบตัวเงิน การตีมูลค่าของสิ่งทุกอย่างที่ทำ ก็อาจจะทำให้เราหลงลืมกับสิ่งที่สำคัญที่สุด การอยู่ในปัจจุบัน การที่ได้มีความประทับใจ มีความชื่นชมกับสิ่งที่องค์กรเราได้บรรลุความสำเร็จขึ้นมา รวมถึงคนรอบข้างที่เราบรรลุผลลัพธ์เหล่านี้ด้วยกันนั่นเอง การที่มุ่งเน้นแต่ตัวเลขอย่างเดียว อาจจะทำให้เราหลงลืมอะไรที่เป็นสาระสำคัญที่สุดก็ได้ ตัวเลขมาแล้วก็ไป ตัวเลขวันนี้อาจจะไม่ได้มีความสำคัญกับตัวเลขวันพรุ่งนี้ เพราะฉะนั้นคำถามง่ายๆ องค์กรควรจะเริ่มลงทุนในเรื่องไหนที่เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด

N – Numbers vs Nurturing

ในกรณีนี้ หลายองค์กรมีความถนัดที่จะระบุตัวเลขออกมา แต่ตัวเลขเองไม่ได้สะท้อนให้เห็นเลยว่า องค์กรของเราให้ความสำคัญในเรื่องของการพัฒนา การที่จะให้พนักงานมีการเจริญเติบโตในรูปแบบของความคิด หรือจิตวิญญาณด้วยซ้ำไป เพราะฉะนั้นอะไรกันแน่ที่จะเป็นสิ่งที่องค์กรจำเป็นที่จะต้องให้ความสำคัญ

O – Objectives vs Openness

การมีจุดมุ่งหมาย การมีวัตถุประสงค์ในการทำงานเป็นจุดเริ่มที่ดี แต่คำถามที่สำคัญก็คือ เราหลงกับระบบที่เราวางขึ้นมาหรือเปล่า เรามีพื้นที่ที่จะเปิดใจ ยืดหยุ่น และเผื่อเหลือเผื่อขาดสำหรับสิ่งที่เราอาจจะไม่ได้สามารถมองเห็นได้ตอนที่เราวางเป้าประสงค์ แต่เรารู้ว่าเรามีระบบที่มีสมาธิในการที่จะสามารถพูดคุยกัน เปิดรับความคิดใหม่ๆ รวมถึงสถานการณ์ในการทำธุรกิจใหม่ๆ ซึ่งเราอาจจะไม่เคยคิดถึงมาก่อนก็ได้ แต่เมื่อเราสามารถสร้างวัฒนธรรมในองค์กรที่เป็นวัฒนธรรมในการยอมรับ เปิดใจกว้าง เมื่อนั้นองค์กรเองก็มีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จและสามารถแข่งขันได้ในทุกสถานการณ์

P – Performance vs Purpose

ในขณะที่ประสิทธิภาพ ผลลัพธ์ในการทำงานเป็นเรื่องที่สำคัญ แต่คำถามง่ายๆ ก็คือ สิ่งที่เราวัดมันสะท้อนแค่ไหนในปัจจุบัน หรือมันกำลังมองไปที่อนาคต การทำธุรกิจมีวันที่ดีและวันที่แย่ แต่สิ่งที่สำคัญสำหรับผู้บริหารก็คือ ถ้าเราจำเป็นที่จะต้องสร้างองค์กรให้อยู่ได้อีก 50 ถึง 100 ปี อะไรกันแน่ที่เป็นเป้าประสงค์ขององค์กร องค์กรระดับธรรมดาเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปอย่างมากมาย แต่องค์กรระดับชั้นเลิศที่สามารถอยู่ยั่งยืนมากกว่า 100 ปี มีไม่มากนัก องค์กรเหล่านี้มักมีเป้าประสงค์ที่ชัดเจน และมีความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ได้จริงๆ

Q – Quantity vs Quest

ในปัจจุบันที่เราเน้นในเรื่องของปริมาณ ทำมาก ได้มาก ต้นทุนต่ำ สามารถสร้างมาร์จิ้นหรือส่วนต่างของกำไรได้ดี เราอาจจะให้น้ำหนักในสิ่งเหล่านี้ แต่สิ่งหนึ่งซึ่งองค์กรส่วนมากก็เริ่มเห็นแล้วเหมือนกันก็คือว่า ถ้าเราไม่รู้จักการปรับตัว ตลาดอาจจะเข้ามาแล้วก็หายไปด้วยความรวดเร็ว แต่ในขณะเดียวกัน ถ้าเรามีระบบในการที่จะสร้างความกระหายใคร่รู้ให้เกิดขึ้นกับองค์กรและพนักงานองค์กรของเรา องค์กรเรามีโอกาสดีมากที่จะสามารถอยู่รอดได้ในอนาคต

R – Results vs Relationships

แนวคิดหนึ่งของการบริหารจัดการองค์กร เรามักจะมุ่งเน้นถึงผลลัพธ์ซึ่งเป็นสิ่งที่เข้าใจได้ แต่อย่างไรก็ตาม องค์กรไม่สามารถมองข้ามในเรื่องของความสัมพันธ์ของพนักงานในองค์กรได้ องค์กรให้น้ำหนักกับผู้บริหารที่สามารถบริหารผลลัพธ์โดยใช้ต้นทุนในเรื่องของความสัมพันธ์ที่พังทลาย เป็นสิ่งที่ยอมรับได้ แต่ในขณะเดียวกัน องค์กรชั้นนำจริงๆ จะไม่ทิ้งในเรื่องของความสัมพันธ์ และสามารถพัฒนาต่อยอดและสร้างเป็นส่วนสำคัญ เป็นวัฒนธรรมขององค์กรได้อย่างแท้จริง

S – Speed vs Sustainability

ความเร็วในการแข่งขันเป็นปัจจัยสำคัญที่หลากหลายธุรกิจเองใช้เป็นตัววัดถึงความเก่งของผู้บริหารขององค์กรนั่นเอง แต่แท้จริงแล้วคำถามง่ายๆ ก็คือ ถ้าเร็วอย่างเดียวแต่ไม่ยั่งยืน องค์กรจะอยู่ได้จริงหรือเปล่า ถ้าเร็วอย่างเดียวแต่ผิดพลาดขึ้นมา เราจะมีระบบอะไรที่สามารถดูแลข้อผิดพลาดเหล่านั้นได้ โดยเฉพาะถ้าเราเร็วอย่างเดียว มองแก่ตัวเราอย่างเดียว เราไม่ทิ้งอะไรไว้ให้กับคนรุ่นถัดไป ไม่ได้ทิ้งโลกที่ดี อากาศที่สะอาด หรือไม่ก็การทิ้งบรรทัดฐานในการเป็นธรรมาภิบาลที่ดี มันจะมีประโยชน์อะไรในการที่โลกเองก็ไม่ได้ต้องการองค์กรของเรา เพราะเราก็ไม่ได้เป็นองค์กรที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม หรือคนที่ทำธุรกิจที่สร้างความยั่งยืนให้กับโลก

T – Targets vs Trust

ทุกๆ ปีเรามักคุ้นเคยในการที่จะสร้างเรื่องของแผนงานทางธุรกิจหรือวิสัยทัศน์ ก็จะมักมีตัวเลขในการที่จะปรับเรื่องของผลลัพธ์ รายได้ขึ้น จะ 5% 10% ก็แล้วแต่ แต่คำถามที่เราควรจะถามก็คือ เราได้บริหารจัดการเรื่องของความเชื่อมั่นและศรัทธาภายในองค์กรของเราหรือเปล่า ยิ่งเราอยู่ด้วยกันนานขึ้น ทำธุรกิจมากขึ้น ศรัทธาหรือความเชื่อมั่นมันเพิ่มขึ้นไหมกับผู้ที่เกี่ยวข้องกับองค์กรของเรา จากพนักงานของเรา จากผู้ถือหุ้น และสังคมที่มองบริษัทของเราเอง สิ่งเหล่านี้จะช่วยสร้างโลกที่ยั่งยืนให้กับเราต่อไป

U – Urgency vs Understanding

ถ้าใครทำงานในบริษัท เรามักจะเห็นว่าทุกวันนี้มีแต่เรื่องจำเป็นเร่งด่วนเต็มไปหมด ซึ่งก็อาจจะพอเข้าใจได้ว่าการเปลี่ยนแปลงอยู่รอบตัวเรา ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของเทคโนโลยี ในเรื่องของรูปแบบการซื้อของลูกค้านั่นเอง ลูกค้าเองก็มีพฤติกรรม แพตเทิร์นที่เปลี่ยนแปลงไป การแข่งขันที่รุนแรงขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม เราได้ลงทุนที่จะเข้าใจผู้คนรอบข้างของเราได้ดีขึ้นไหม พนักงานองค์กรเอง ลูกค้า ชุมชน หรือสิ่งที่โลกต้องการ หลายทีเราต้องหยุดแล้วคิดเพิ่มเติมขึ้นมาก็ได้ว่า นี่ยังเป็นธุรกิจที่เรายังอยากทำอยู่หรือเปล่า ในการที่จะต้องไปกดดันในเรื่องของซัพพลายเออร์ คนที่ทำสินค้าและบริการให้เราถึงจุดที่เขาอยู่ไม่ได้ หรือการไปเบียดเบียนทรัพยากรทางธรรมชาติ นี่ยังเป็นสิ่งที่เราอยากจะทำอยู่หรือเปล่า สิ่งเหล่านี้ถ้าเราองค์กรมีการวางเป้าประสงค์ที่ชัดเจน ก็คงตอบได้ไม่ยากเท่าไหร่ แต่ถ้าองค์กรยังไม่มีเป้าประสงค์ขององค์กร ก็อาจถึงเวลาที่ต้องตั้งคำถามในสิ่งเหล่านี้

V – Victory vs Vulnerability

ในธุรกิจเราต้องการเป็นผู้ชนะ เราต้องการอยู่ในอันดับที่หนึ่ง อยู่อันดับต้นๆ แต่คำถามก็คือ ชัยชนะของเรามันแลกมาด้วยต้นทุนอะไรบ้าง ใครที่สามารถอยู่ได้ ใครที่ไม่สามารถอยู่ได้ ชัยชนะอาจจะเป็นการมองที่ตัวเองแต่ในขณะเดียวกัน การยอมรับว่าเราเองก็ยังมีจุดอ่อนไหว ยังมีจุดเสี่ยง มันเป็นการเปิดพื้นที่ให้ผู้คนเข้ามาเชื่อมโยง มาคุยกันว่ามันเป็นเรื่องปกติที่เราอาจจะไม่ได้เก่งตลอดเวลา เราก็สามารถเป็นคนที่พ่ายแพ้ได้ ก็อ่อนโยน อ่อนแอได้ และเราก็สามารถก้าวข้ามในสิ่งเหล่านั้นด้วยกันได้ ก็จะเป็นการสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้เกิดขึ้นภายในองค์กร

W – Workflow vs Wellbeing

องค์กรมีระบบระเบียบในการทำงาน มีเวิร์กโฟลว์ที่ชัดเจนมากจนขาดความยืดหยุ่น และสุดท้ายคนทำงานเองก็เป็นเหยื่ออยู่ในระบบตรงนั้น ต้นทุนที่องค์กรต้องจ่ายก็คือสุขภาพจิตที่นับวันก็เสื่อมถอยไปเรื่อยๆ และมีตัวเลขที่น่าตกใจมากว่า ยิ่งเทคโนโลยีเองมีความพัฒนาก้าวหน้าขึ้นไปเท่าไหร่ แต่สภาพจิตใจของคนที่อยู่ในระบบนิเวศของการทำงานกลับเสื่อมถอยมากเป็นทวีคูณเท่านั้น เพราะฉะนั้นคำถามง่ายๆ เราเองก็เห็นรูปแบบเหล่านี้ผ่านกระบวนการปฏิวัติทางอุตสาหกรรมมา 100-200 ปี เราไม่คิดกันบ้างเลยเหรอว่า มันอาจจะมีวิธีที่ดีกว่านี้ที่เราสามารถคงสภาพการสร้างมูลค่าให้กับสังคมและเศรษฐกิจ แต่อย่างไรก็ตาม เราไม่ได้ทิ้งขว้างในเรื่องของสุขภาพจิต และสามารถใช้ศักยภาพการเป็นมนุษย์ของเราได้อย่างเต็มที่

X – eXecution vs eXperience

องค์กรเองให้น้ำหนักในเรื่องของการสร้างผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม ซึ่งแน่นอนที่สุดเป็นตัวกำหนดชะตากรรมขององค์กร เป็นสิ่งที่จำเป็น แต่อย่างไรก็ตาม การนำเอาแผนงานมาปฏิบัติได้อย่างจริงจัง อย่างเป็นรูปธรรม ก็มีกระบวนการของเขา มีรูปแบบที่บางครั้งก็ประสบความสำเร็จ บางครั้งก็ล้มเหลว แต่คำถามก็คือ ถ้าเรามองว่าเรามาทำงานด้วยกัน อะไรมันเป็นประสบการณ์ร่วมที่เราสามารถใช้ร่วมกันได้ หรือไม่ก็สินค้าและบริการของเราควรจะเป็นที่จดจำของลูกค้าเราอย่างไร เมื่อนั้นเราเองก็จะให้น้ำหนักในเรื่องของการสร้างประสบการณ์ร่วมที่ไม่ใช่แค่ว่าเป็นแผนการปฏิบัติงานแค่นั้นเอง

Y – Yardstick vs Yearning

การหาไม้บรรทัดวัดในเรื่องของการประสบความสำเร็จ ผลสำเร็จเองอาจจะถูกวัดว่าเป็นขาวหรือดำ หรือทำได้หรือทำไม่ได้แค่นั้นเอง แต่ในความเป็นจริงแล้ว ถ้าเรามองว่าทุกโอกาสในการทำงานร่วมกัน หรือยิ่งการทำงานในธุรกิจในอนาคตเอง ความสำเร็จเองก็คงไม่ใช่เป็นในรูปแบบที่มองได้แค่ขาวดำ แต่คงจะเป็นกระบวนการในการที่จะเรียนรู้ ปรับตัว รับฟัง สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่สำคัญในการที่จะดึงศักยภาพของเทคโนโลยีที่อยู่ตรงหน้าของเราผสมกับความเป็นมนุษย์ให้เกิดขึ้นและจับต้องได้อย่างแท้จริง

Z – Zone vs Zest

สุดท้ายก็คงเป็นการตีกรอบว่า ธุรกิจเราคืออะไรกันแน่? ความสำเร็จของเราคืออะไรกันแน่? ซึ่งถ้าเรามองแบบเดิมๆ เราจะตีกรอบแคบๆ ว่าเป็นแค่บริษัทเราเท่านั้น เป็นแค่ของเฉพาะผู้ถือหุ้นของบริษัทเท่านั้น ความเป็นจริงแล้ว โลกปัจจุบันเองเปิดพื้นที่ให้เราขยายกว้างมากไปกว่านั้น เราสามารถสร้างมูลค่าผ่านผู้อื่นก็ได้ เพราะฉะนั้นเราจะต้องขยายโซนของเราเพื่อเชื่อมโยงกันมากขึ้น ถ้าเราใช้ชีวิตโดยมีอิสระเสรี ใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ เอ็นจอยกับสิ่งที่ทรัพยากรที่อยู่ตรงหน้า และโอกาสที่อยู่ตรงหน้าของเรา ก็ต้องบอกว่าคนสมัยนี้ คนสมัยในปัจจุบันมีโอกาสที่ดีที่สุดแล้วในประวัติศาสตร์ที่มีประสบการณ์ร่วมสร้างสรรค์สิ่งที่ดีที่สุด มีเครื่องมือที่ดีที่สุด แต่สุดท้ายแล้วคงไม่มีประโยชน์อะไรเลยถ้าเราไม่รู้จักใช้ประโยชน์ในสิ่งเหล่านี้

การเป็นผู้นำแห่งสติไม่ใช่เป็นคนที่พูดจาเพ้อเจ้อ หรือเป็นแนวคิดที่ชวนให้พวกเราละทิ้งทุกสิ่งอย่าง ไม่สร้างความเจริญให้กับใคร มีสมองมีสติปัญญาก็ไม่ใช้ประโยชน์ มานั่งดูลมหายใจนับกันไปวันๆ ซึ่งอันนี้เป็นความคิดที่ผิดพลาด การเจริญสติไม่ใช่ชวนให้เราทำอะไรช้า แต่การเจริญสติ สร้างสมาธิ สมาธิมีผลให้เรามีความกระจ่างใสในสิ่งที่เราทำ มีความบริสุทธิ์ มีความตั้งมั่นในสิ่งที่เราทำแล้วควรค่าแก่การทำงาน
เราจะไม่ได้มองแค่ประโยชน์ของเราอย่างเดียว แต่เรามองถึงประโยชน์ของคนรอบข้างและไม่ใช่เฉพาะในยุคสมัยของเรา แต่เราอาจจะต้องตั้งคำถามว่า “เราจะทิ้งโลกใบนี้ให้กับคนรุ่นถัดไป ลูกหลานของเราอีก 100-200 ปี เราจะทิ้งโลกที่มันดีขึ้นกว่าเดิมเหมือนอย่างที่เราเคยเจอ หรือเราจะทิ้งโลกที่เต็มไปด้วยขยะ เต็มไปด้วยปัญหาสุขภาพจิต เต็มไปด้วยทัศนคติต่อการใช้ชีวิตที่ทุกคนไม่เอาแล้ว เข็ดแล้ว สู้ไม่ได้แล้วกับเทคโนโลยี ไม่ไหวแล้ว คนรวยอยู่กลุ่มเดียวเล็กๆ เท่านั้นเอง ที่เราก็เป็นแค่มดงานที่จะทำให้คนกลุ่มเล็กนี้เขาเจริญและร่ำรวยมากขึ้น” เพราะฉะนั้นอนาคตอยู่ในมือของเราที่จะลองพิจารณาตัดสินว่า “โลกที่ดีกว่า โลกที่ควรจะเป็นโลกที่เราควรจะทิ้งให้กับเด็กรุ่นใหม่” เราทุกคนมีส่วนร่วมที่จะสร้างโลกเหล่านี้ให้เกิดขึ้นได้จริงๆ ขอฝากความหวังไว้กับทุกคน เพราะเห็นท่าที่จะเดินตาม Technology และสร้างความร่ำรวยให้คน 1% ของประชากรโลก น่าจะไม่ใช่ทางที่เราเดินๆตามกันไป

Leave a Reply