ในโลกที่ AI สามารถตอบคำถามได้เร็วกว่า คิดวิเคราะห์ได้แม่นยำกว่า และทำงานได้ประสิทธิภาพสูงกว่ามนุษย์—คำถามสำคัญที่ผู้นำยุกใหม่ต้องเผชิญคือ: แล้วคุณค่าของมนุษย์อยู่ตรงไหน?
เมื่อเร็วๆ นี้ ผมได้รับเชิญไปบรรยายที่คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในช่วงพักรับประทานอาหารกลางวัน ช่วงเวลาที่ตามปกติแล้วทุกคนควรจะได้พัก ได้เติมพลัง แต่แทนที่จะพักผ่อน เราต่างเลือกที่จะมานั่งคุยกันเรื่อง Modern Leadership ในยุคที่ทุกอย่างหมุนเร็วเกินกว่าที่ใจจะตาม
นี่ไม่ใช่แค่การบรรยายเรื่อง leadership theories หรือ management frameworks ที่เราอาจจะเคยได้ยินมามากมาย แต่เป็นการตั้งคำถามที่สำคัญที่สุด ณ จุดเปลี่ยนของประวัติศาสตร์มนุษยชาติ
วิกฤตที่ไม่มีใครพูดถึง: Attention Crisis
ผมเชื่อว่าวิกฤตที่ร้ายแรงที่สุดในยุคนี้ไม่ใช่ความล้าหลังทางเทคโนโลยี ไม่ใช่การถูก AI แทนที่ แต่คือ Attention Crisis วิกฤตเรื่องความสามารถในการจดจ่อกับปัจจุบัน
ลองคิดดูสิว่า ในแต่ละวัน เราใช้เวลาไปกับการ scroll TikTok YouTube Facebook Line เท่าไหร่? บริษัทเหล่านี้มีความเก่งมากในการดึง attention ของเราออกไป จนเราไหลไปอย่างไม่รู้ตัว 2-3 ชั่วโมง
Attention คือทรัพย์สินที่มีค่าที่สุดของเราในยุคนี้ และเรากำลังให้มันไปฟรีๆ โดยไม่รู้ตัว
ข้อมูลระดับโลกชี้ให้เห็นว่า: • 78% ของผู้บริหารรายงานว่ามีความเครียดสูง • 62% ไม่มั่นใจในการตัดสินใจที่สำคัญ • 40% ของงานจะถูกแทนที่ด้วย AI ภายในปี 2030
สำหรับประเทศไทย อันดับความสามารถในการแข่งขันของเราลดลงจากอันดับ 28 เป็นอันดับ 33 และนี่คือสัญญาณเตือนที่เราไม่ควรมองข้าม
เส้นทางส่วนตัว: จาก MBA สู่การนอนไม่หลับ 10 ปี
ผมเองก็เคยเดินตามสูตรความสำเร็จของสังคมมา จบวิศวกรรมศาสตร์ เรียน MBA ทำงาน Investment Banking และ Consulting ปีนป่ายขึ้นไปสู่ตำแหน่ง C-Level มี Corner Office มีคนขับรถ ดูแล regional operations
ในสายตาของคนรอบข้าง ผมประสบความสำเร็จ
แต่แล้วคำถามง่ายๆ ที่ผมต้องตั้งกับตัวเอง: ราคาที่ต้องจ่ายเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งเหล่านี้ ผมพร้อมที่จะจ่ายหรือเปล่า?
ราคาที่ผมต้องจ่ายคือการนอนไม่หลับมากกว่า 10 ปีเต็มๆ ก่อนจะนอนทุกคืน ผมต้องทานยาคลายเครียดเพื่อให้มีความสามารถในการนอนหลับ ซึ่งเป็นคุณสมบัติพื้นฐานที่สุดของมนุษย์
ผมเคยเดินเข้าลิฟต์กับ messenger ที่บริษัทเก่า คนที่ส่งเอกสารไปมา ชีวิตเขาดูสบายมาก กลับบ้านนอนหลับสบาย แต่ผม ที่มี MBA ที่มีตำแหน่งสูง ที่มีเงินเดือนสูง กลับบ้านไปนอนไม่หลับ
ผมเชื่อเลยว่า messenger คนนั้นมีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าผมมาก เขามีสุขภาพที่ดีกว่า เขาได้นอนหลับเต็มที่ มีเวลาให้กับครอบครัว ส่วนผม? ผมกลับบ้านไปแล้วก็นอนไม่หลับ คิดวนไปวนมา กังวล และกังวล
คำตอบของผมในที่สุดคือ: ไม่ ผมไม่จ่ายต่อแล้ว มันแพงเกินไป มันไม่คุ้มค่า
จุดเปลี่ยน: วันที่ค้นพบคำตอบในวัด
วันที่ผมเลิกยานอนหลับหลังจากที่ต้องพึ่งพามันมา 10 ปีเต็มๆ วันนั้นผมอยู่ในวัด ผมบวชเป็นพระ และในวันนั้นเอง ผมก็เข้าใจแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น
ผมบวชไม่ใช่เพราะว่าผมอกหัก ไม่ใช่เพราะว่าผมผิดหวังในชีวิต แต่ผมบวชเพราะว่าผมต้องการหาคำตอบ คำตอบว่าทำไมผมถึงนอนไม่หลับ
ผมเข้าใจว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่งาน ไม่ได้อยู่ที่ความกดดัน แต่ปัญหาอยู่ที่วิธีที่ผมจัดการกับความคิดของผมเอง
ผมเข้าใจว่าทำไมผมถึงนอนไม่หลับ เพราะสมองของผมไม่เคยหยุด แม้แต่เวลานอน สมองของผมก็ยังทำงานหนัก คิดวนไปวนมา แต่ไม่เคยอยู่กับปัจจุบัน
และเมื่อผมเห็นภาพนี้แล้ว ผมก็มีความรู้สึกว่า ผมจะเก็บไว้คนเดียวได้อย่างไร? ถ้าผมเห็นทางออกแล้ว ถ้าผมรู้แล้วว่ามันมีวิธีแก้ปัญหา ผมจะปล่อยให้คนอื่นต้องเดินทางผ่านความมืดมนเหมือนที่ผมเคยเดินมาได้อย่างไร
นี่คือที่มาของการที่ผมเปลี่ยนเส้นทาง จากคนที่ทำงาน corporate มาเป็นคนที่พยายามแบ่งปันความรู้เรื่อง mindfulness ให้กับคนอื่นๆ
ทำไมเราถึงนอนไม่หลับ: เข้าใจสมองผ่าน Neuroscience
ให้ผมอธิบายด้วยภาษาที่เข้าใจง่ายว่า ทำไมเราถึงนอนไม่หลับ ทำไมยิ่งเหนื่อยมาก พอนอนกลับนอนไม่หลับ
คำตอบอยู่ที่การทำงานของสมอง ซึ่งมี 2 ส่วนที่สำคัญ
- Prefrontal Cortex นี่คือส่วนของสมองที่ทำงานเมื่อเราคิดวิเคราะห์ ตัดสินใจ วางแผน แก้ปัญหา มันเป็นศูนย์กลางของการคิดเชิงตรรกะ การใช้เหตุผล การทำงานที่ต้องใช้สมาธิ
ตลอดทั้งวันที่เราทำงาน Prefrontal Cortex นี้ทำงานหนักมาก มันเหนื่อยมาก
- Default Mode Network (DMN) นี่คือส่วนของสมองที่ทำงานเมื่อ Prefrontal Cortex ปิดตัวลง ปกติมันควรจะทำงานตอนที่เราพัก ตอนที่เราไม่ได้ทำอะไร ตอนที่เราควรจะนอนหลับ
แต่ปัญหาคือ DMN นี้ทำอะไร? มันทำให้เราคิดวนไปวนมา กังวล วางแผน ย้อนคิดอดีต คิดถึงอนาคต คิดเรื่องนู้นเรื่องนี้ที่ยังไม่เกิด หรือเรื่องที่ผ่านไปแล้ว
นี่คือเหตุผลว่าทำไมยิ่งเหนื่อยมาก พอนอนกลับนอนไม่หลับ เพราะ DMN กำลังทำงานหนักกว่าตอนที่เราตื่น!
มีงานวิจัยจาก Harvard, Yale, Princeton หลายชิ้นที่พิสูจน์แล้วว่า การฝึก Mindfulness ช่วยให้
- DMN ลดการทำงานลง
- ขนาดของ DMN เล็กลง
- Prefrontal Cortex ทำงานได้ดีขึ้นในการจดจ่อกับปัจจุบัน
นี่ไม่ใช่ทฤษฎี นี่คือ clinical proof มี evidence-based รองรับ มีการวัดได้จริงด้วย brain imaging
ต้นทุนของความเร็ว: เมื่อมนุษย์ต้องวิ่งแข่งกับ AI
ให้ผมยกตัวอย่างที่ชัดเจน: Usain Bolt สถิติโลก 100 เมตร 9.58 วินาที ตั้งไว้เมื่อปี 2009 จนถึงตอนนี้ 16 ปีแล้ว ยังไม่มีใครทำลายสถิตินี้ได้ นี่คือ threshold ของมนุษย์ เรามีขีดจำกัด
แต่ AI? ในปี 2023 AI ผ่านการทดสอบ 95% ของมนุษย์ได้แล้ว ความสามารถของ AI เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าทุกๆ 3-4 เดือน เทียบกับ Moore’s Law ที่บอกว่าทุก 18 เดือน
คำถามคือ: มนุษย์จะวิ่งตามทันหรือไม่? และถ้าวิ่งตาม เราต้องจ่ายราคาอะไรบ้าง?
Asian Wisdom ที่อยู่ใกล้ตัวแต่เรามองข้าม
เรื่องน่าเศร้าที่สุดคือ สิ่งที่เราต้องการเพื่อรับมือกับยุค AI ภูมิปัญญาเรื่อง mindfulness และ awareness มันอยู่กับพื้นที่ของเรามา 2,600 กว่าปี แต่เราไม่เคยมองมันอย่างจริงจัง
เรามองว่ามันเป็นเรื่องที่เชย มันเป็นเรื่องของ personal belief ต้องอกหักเท่านั้นถึงจะเข้าคอร์สธรรมะ
เวลาเราพูดเรื่อง Mindfulness มีแต่คนพูดว่า “Google เอาไปใช้แล้วมันดี SAP เอาไปใช้แล้วมันดี” เพราะฉะนั้นมันน่าจะดี แต่เราเกิดมากับมันอยู่แล้ว!
ความแตกต่างระหว่าง Asian Wisdom กับ Western Wisdom
Asian Wisdom มองว่าเราเป็นส่วนหนึ่งกับ ecosystem จำเป็นที่ต้อง purify ตัวเราเอง เพื่อหา insight เป็น Inward Looking
Western Wisdom มุ่งเน้นการพิชิตธรรมชาติ การพัฒนาเทคโนโลยี การแก้ปัญหาภายนอก เป็น Outward Looking
ทั้งสองแนวทางต่างมีคุณค่า แต่ในยุค AI ที่ความฉลาดภายนอกหาได้ง่าย (จ่ายเงิน 300-400 บาท ก็จ้าง AI มาทำงานให้ได้) สิ่งที่เราขาดคือ wisdom ภายใน การตระหนักรู้กับปัจจุบัน
Mindfulness Compass: เข็มทิศแห่งสติในการสร้างองค์กร
ผมพัฒนาโมเดลที่เรียกว่า Mindfulness Compass ซึ่งมี 4 ทิศที่เป็น benefit ของการ practice mindfulness:
ทิศตะวันออก: Self-Awareness (การรู้จักตัวเอง) เราลืมตาขึ้นมา สิ่งแรกที่เราเห็นคือการตระหนักรู้ว่าตัวตนของเราคืออะไร บุคลิกลักษณะเราเป็นยังไง เรามี Bias ยังไงบ้าง
การเป็นผู้นำไม่สามารถทำได้เลยถ้าบรรทัดแรก เราไม่สามารถรู้จักตัวเราเอง เมื่อเรารู้ตัวเอง เราถึงจะรู้จักคนอื่น
ทิศใต้: Connection & Compassion (ความเชื่อมโยงและความเมตตา) ที่ใต้ที่เรายืนเหยียบมันเป็นฐาน support เราอยู่ คนเรามีเพื่อน เรามี connection เรามีความเมตตาเกิดขึ้น
การ practice mindfulness ทำให้ compassion และ connection มันตามมาเอง เหมือนกับการเล่นกีฬา ถ้าคุณเล่นกีฬาถูกต้อง สุขภาพคุณดีแน่นอน
ทิศเหนือ: Purpose (จุดมุ่งหมาย) เราอยู่ในองค์กร เราทำงาน วันหนึ่งก็ต้องจากไป เปรียบเปรยเหมือนกับรถซึ่งผ่านปั๊มน้ำมันปั๊มสุดท้ายไปเรียบร้อยแล้ว
คำถามง่ายๆ คือ: จะหมดเชื้อเพลิงทิ้งขว้าง หรือจะใช้มันทำในสิ่งที่คิดว่ามีประโยชน์กับผู้คนบ้าง?
ทิศตะวันตก: Choice & Response (การเลือกและการตอบสนอง) คนที่ practice mindfulness มองเห็นว่า เรามี choice
Mindfulness ไม่ได้สร้างอะไรเลย แต่ Mindfulness จะเพิ่มช่องว่างเล็กๆ ให้กับเรา จาก stimulus ไปสู่ response
ถ้าเราไม่ฝึก เราจะ react ไปเลยโดยที่ไม่ได้คิด แต่ถ้าเรา practice mindfulness เราจะมี moment เล็กๆ ที่ตั้งคำถามว่า จะไปต่อหรือจะพอแค่นี้
กิจกรรมง่ายๆ ที่องค์กรสามารถทำได้
- Mindful Listening (ฟังอย่างตั้งใจโดยไม่ตัดสิน) ผู้บริหารฟังลูกน้อง 5 นาที ได้แต่ ‘เออ’ ‘อืม’ พยักหน้า ห้ามแทรก ห้ามแนะนำ ห้ามแก้ปัญหา แค่ฟังให้จบ เพื่อเชื่อมโยงกับปัจจุบันจริงๆ
- การตีระฆัง เมื่อได้ยินเสียงระฆัง = หยุดทำงาน หยุดคิด กลับสู่ปัจจุบัน เพียงแค่นี้
- Mood Board เขียนโพสต์ความรู้สึก: เขียว เหลือง แดง วันนี้คุณรู้สึกยังไง? โดยไม่ตัดสิน
พนักงานบางทีบางวันก็แดง ไม่รู้องค์กรจะ downsize เมื่อไหร่ แต่ไม่เป็นไร หน้าที่ของเราคือฟังอย่างตั้งใจ
- Creative Space ในห้องน้ำมีข้อความ: “ทำงานไปตกนรกไปหรือเปล่า?” มีพรมที่พื้น: “ยืนตรงนี้แล้วรู้สึกตัว” หลอกล่อให้ลอง practice
Awareness Intelligence (AQ): ทักษะสำคัญในยุค AI
อยากให้ทุกท่านช่วยกันไม่ลืมว่า ความฉลาดหาได้ที่ไหนก็ได้ มีเงินสามสี่ร้อยบาท จ่ายเงินจ้าง AI มาทำงานให้เราได้ จะถูกกว่า และเก่งกว่าด้วย
แต่สิ่งที่เราห้ามลืมคือ: การตระหนักรู้กับปัจจุบัน มันจำกัดมาก
ในยุคที่ AI มี IQ สูงกว่ามนุษย์ ในยุคที่ AI ทำงานได้เร็วกว่า แม่นยำกว่า ประสิทธิภาพสูงกว่า คำถามคือ มนุษย์จะแข่งขันด้วยอะไร?
คำตอบคือ Awareness Intelligence หรือ AQ ความสามารถในการตระหนักรู้ ความสามารถในการอยู่กับปัจจุบัน ความสามารถในการเข้าใจตัวเอง เข้าใจผู้อื่น มีความเมตตา มี compassion
สิ่งเหล่านี้ AI ทำไม่ได้ สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่ทำให้เราเป็นมนุษย์ สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่เราต้องพัฒนา เราต้อง cultivate เราต้องบ่มเพาะ
นี่คือเหตุผลที่ Mindfulness จึงสำคัญมากในยุค AI เพราะมันคือกุญแจสู่การพัฒนา AQ ของเรา
Leadership Legacy: คำถามสำหรับผู้นำทุกคน
ถ้าคุณมีลูกหลานในบ้าน ลองนึกภาพดูว่า: นี่คือ generation ที่เราอยากจะฝากอนาคตไว้หรือเปล่า? เราทำอะไรให้กับ generation นี้แล้วบ้างที่จะทำให้เขามีโอกาสที่จะใช้ชีวิตอย่างเต็มที่?
หรือว่าในทางกลับกัน เรากำลังทิ้งโลกไว้ให้เขาต้อง suffer มากกว่ารุ่นเรา? ในเรื่องของสภาพแวดล้อมที่เสื่อมโทรม ในเรื่องของสังคมที่เต็มไปด้วยความเครียด?
ผมดีใจมากเลยที่ประเทศอย่าง Australia ประกาศแล้วว่า อายุต่ำกว่า 16 ปี ห้ามเล่นโซเชียลมีเดีย ญี่ปุ่นก็เริ่มทำแล้ว เขาเห็นภาพคล้ายๆ กัน
ทำไมเราต้องรอให้เขาเป็น case study? เราควรจะเริ่มทำตั้งแต่ตอนนี้
นี่คือความหมายที่แท้จริงของ Leadership Legacy มันไม่ใช่แค่ผลงานที่เราทำได้ แต่มันคือผลกระทบที่ยั่งยืนที่เราสร้างขึ้น
ปิดท้าย: เราต้องการผู้นำที่ตื่นรู้
ในโลกที่ทุกอย่างหมุนเร็ว ในโลกที่ AI กำลังเข้ามาเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง สิ่งที่เราต้องการมากที่สุดไม่ใช่ความฉลาดมากขึ้น แต่คือความตระหนักรู้มากขึ้น
เราต้องการผู้นำที่ไม่เพียงแค่ฉลาด แต่ต้องการผู้นำที่ตื่นรู้ ที่มี awareness ที่มี compassion ที่มี wisdom
และนี่คือสิ่งที่ Mindfulness สามารถช่วยเราได้ ไม่ใช่เพราะมันมหัศจรรย์ แต่เพราะมันช่วยให้เราเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ขึ้น ในยุคที่ความฉลาดไม่ใช่ทุกอย่าง การตระหนักรู้คือสิ่งที่จะทำให้เราเป็นผู้นำที่แท้จริง