“Not Just ‘Skill’ but, more importantly, ‘Will’ to perform”
การที่ใครสักคนจะขึ้นมาเป็นผู้บริหารระดับสูงในองค์กร เราต้องยอมรับว่าผู้ที่มาถึงระดับนี้ได้จะต้องมีความรู้ความสามารถและผ่านประสบการณ์ชีวิตมาพอสมควร แต่อย่างที่ Marshall Goldsmith ได้พูดไว้ว่า ‘What got you here, won’t get you there’
นั่นหมายความว่าความรู้และความสามารถที่ทำให้เราก้าวข้ามจากผู้บริหารชั้นต้นมาในจุดซึ่งเป็นผู้บริหารระดับสูงอาจจะไม่มีความหมายอีกต่อไป ในเมื่อ บริบทของการเป็นผู้บริหารระดับสูงมีความแตกต่างออกไป หลายคนเป็นเริ่มเส้นทางการเป็นผู้บริหารโดยไม่ตั้งใจหรือที่เรารู้กันในชื่อที่ว่า Management by Accident หรือ MBA นั่นก็คืออาจจะคนทำงานที่ทำงาน Function ได้ดีเช่นดูด้าน Operation HR หรือ Marketing แต่เมื่อมาเป็นผู้บริหารระดับสูงแล้วบทบาทและหน้างานมีความแตกต่างกันออกไป และอาจจะทำงานไม่ได้ดีเหมือนเดิม
องค์กรมักที่จะแก้ปัญหาโดยส่งผู้บริหารระดับสูงไปเรียนรู้ทักษะเพิ่มเติมไปอบรม Leadership Development หรือไม่ก็บางองค์กร นำเอา External Coach ข้างนอกเข้ามาเพื่อช่วยสร้างบทสนทนากับผู้บริหาร ซึ่งรูปแบบการทำโค้ชชิ่งก็มีค่อนข้างหลากหลายนับตั้งแต่การเป็น Life Coach ที่อาจจะให้น้ำหนักในเรื่องของการก้าวข้ามอุปสรรคอะไรบางอย่างหรือการตั้งคำถามกับตัวเอง พร้อมกับสร้างความเชื่อมั่นว่าเราสามารถทำได้ บางองค์กรลงทุนในการสร้าง Internal Coach ภายในองค์กรเอง เพื่อที่จะมาพบกับปัญหาอันใหม่นั่นก็คือถึงแม้ว่าผู้บริหารได้รับ Coaching Skill จากสถาบันชั้นนำกับกลับกลายเป็นว่าลูกน้องไม่อยากที่จะไปสร้างบทสนทนาด้วย นั่นก็คืออาจจะมีทักษะแต่ไม่ได้ถูกนำเอามาใช้สักที
ลองตั้งคำถามกับตัวเองว่าหลายครั้งเรามีความรู้ที่จะทำอะไรบางอย่างหรือเป็นสิ่งที่เราเรียกว่า ‘Skill’ แต่สิ่งที่ขาดหายไป เป็นเรื่องของแรงจูงใจ หรือความอยากที่จะทำ หรือ ‘Will’ ดังนั้นสิ่งสำคัญที่สุดที่องค์กรควรจะพิจารณาก่อนที่จะส่งผู้บริหารไปอบรม เพื่อเรียนรู้ทักษะใหม่ๆหรือไม่ก็ส่งไปพูดคุยกับโค้ช นั่นก็คือ การตระหนักรู้ในเรื่องบุคลิกลักษณะ (Personality) ของผู้บริหารระดับสูง หรือ ในภาษาของเราเรียกว่า Strategic Self-Awareness ซึ่งสามารถทำได้ โดยใช้เวลาไม่มากนัก โดยการพูดคุยจะให้น้ำหนัก ในเรื่องของ
1. การเข้าใจถึง Value แรงจูงใจ รวมถึงบุคลิกลักษณะ ความเป็นตัวตนของผู้บริหาร ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะมีส่วนช่วยให้ผู้บริหารมีความรู้สึกพึงพอใจกับงานที่ตัวเองทำและความเป็นตัวตนขององค์กร
2. อีกเรื่องนึงที่เราจะพูดคุยนั้นก็คือ จุดแข็งและจุดอ่อน ของตัวผู้บริหารเองโดยใช้มุมมองในเรื่องของบุคลิกลักษณะ (Personality) ซึ่งการที่ให้น้ำหนักในเรื่องใดเรื่องหนึ่งมากหรือน้อยไปถ้ามองมุมหนึ่งก็จะสามารถตอบโจทย์ได้ว่ามีความเหมาะสมกับงานที่ตัวเองทำหรือเปล่าแต่ถ้ามองอีกมุมหนึ่งก็จะเห็นในเรื่องที่ผู้บริหารอาจจะมองข้าม
3. ส่วนสุดท้ายจะให้น้ำหนักในเรื่องของสิ่งที่ผู้บริหารไม่รู้หรือว่าเราเรียกว่า Dark-side ถึงแม้ว่าชื่อที่แปลว่ามุมมืดของเราอาจจะฟังดูน่ากลัว แต่สุดท้ายเป็นสิ่งที่สำคัญมากลองนึกภาพดูว่า ถ้าเราขับรถไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูงแต่ไม่ได้ตระหนักถึง อุปสรรคภายในของเราเองหรือรถที่เราขับ เราอาจจะมารู้อีกทีเมื่อเกิดอุบัติเหตุแล้ว เนื่องมาจากความไม่พร้อมของตัวเราเองหรือการขาดประสบการณ์ในการขับรถ แต่สิ่งเหล่านี้ถ้าเราใช้เครื่องมือได้ถูกจะสามารถบอกเราล่วงหน้าถึงความน่าจะเป็นในการเกิดอุบัติเหตุ ถ้าเราเข้าใจถึงจุดอ่อนของเราและบุคลิกอะไรบางอย่างที่จะแสดงออกมาเมื่อเราอยู่ในสภาวะกดดัน จะทำให้เราเตรียมตัวรับมือกับสิ่งเหล่านี้ได้ทัน
“ผลลัพธ์ที่ได้ เมื่อผู้บริหารมี ‘Skill’ และเข้าใจเรื่อง ‘Will’ จะมีความชัดเจน ในเรื่องของแรงจูงใจ และ เงื่อนไขรวมถึงปัจจัยต่างๆที่จำเป็นในการที่จะช่วยให้ผู้บริหารท่านนั้นดึงเอาศักยภาพสูงสุดออกมา”
ADGES เป็นส่วนหนึ่งของ Hogan Coaching Network ที่ได้ร่วมงานกับองค์กรชั้นนำ เพื่อทำงานในการที่จะดึงเอา ศักยภาพสูงสุดของพนักงานและผู้บริหารระดับสูงขององค์กร ติดต่อเราเพื่อขอรับคำแนะนำในการเอา Strategic Self-Awareness ไปใช้ในองค์กรของท่าน CONTACT
เรื่อง: ดร.ณัฐวุฒิ กุลนิเทศ