No one winning in the race to the bottom.

Navigating the New Reality: Thai Business Strategies in the Face of 36% US Tariffs

Introduction

ธุรกิจส่งออกของไทยกำลังเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่จากการที่สหรัฐอเมริกาเรียกเก็บภาษีสำหรับสินค้าส่งออกจากไทยในอัตรา 36% ซึ่งนับเป็นความท้าทายที่สำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อสหรัฐอเมริกาเป็นตลาดส่งออกใหญ่อันดับสองของไทยรองจากจีน บริษัทไทยในหลากหลายอุตสาหกรรมต้องปรับกลยุทธ์ใหม่เพื่อความสามารถในการแข่งขันและความอยู่รอดของธุรกิจ บทความนี้จะนำเสนอแนวทางที่ธุรกิจไทยสามารถตอบสนองต่อค้าสภาพการค้าใหม่นี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Understanding the Impact

ภาษีใหม่ส่งผลกระทบต่อสินค้าไทยที่ส่งออกไปสหรัฐอเมริกาคิดเป็นมูลค่าปีละประมาณ 35 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยอุตสาหกรรมส่งออกสำคัญของไทย เช่น อิเล็กทรอนิกส์ อะไหล่ยานยนต์ เครื่องจักร ยางพารา อาหารแปรรูป และสิ่งทอ จะได้รับผลกระทบมากที่สุด ธุรกิจส่งออกในหลายภาคส่วนมีกำไรที่ไม่สามารถครอบคลุมอัตราภาษี 36% ได้โดยไม่ต้องปรับตัว ซึ่งอาจทำให้การอยู่ในตลาดสหรัฐอเมริกาไม่สามารถสู้ราคาได้

ธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง (SMEs) มีความเสี่ยงเป็นพิเศษ เนื่องจากขาดทรัพยากรในการปรับเปลี่ยนกระบวนการได้อย่างรวดเร็ว ในขณะที่องค์กรใหญ่ที่มีการกระจายตลาดส่งออกไปหลากหลายอาจมีทางเลือกมากกว่า แต่ก็ยังต้องเผชิญแรงกดดันทางการเงินอย่างหนัก ผลกระทบนี้จะขยายวงกว้างไปถึงซัพพลายเออร์ พันธมิตรโลจิสติกส์ และเศรษฐกิจโดยภาพรวม

Cost Optimization: The First Line of Defense

เมื่อเผชิญกับภาษีที่สำคัญ การปรับปรุงประสิทธิภาพภายในองค์กรกลายเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรก บริษัทไทยควรเริ่มต้นจากการตรวจสอบโครงสร้างต้นทุนอย่างละเอียดเพื่อค้นหาโอกาสในการประหยัดค่าใช้จ่าย สิ่งนี้ไม่ใช่เพียงการลดค่าใช้จ่ายแบบปกติ แต่เป็นการปรับปรุงอย่างรอบคอบ

ตัวอย่างเช่น บริษัทอิเล็กทรอนิกส์ของไทยอาจทบทวนกระบวนการผลิตทั้งหมดเพื่อลดความซ้ำซ้อนและของเสีย อีกทั้งยังอาจเจรจาเงื่อนไขดีขึ้นกับซัพพลายเออร์ภายในประเทศที่มีผลประโยชน์ร่วมกันในการรักษาระดับการส่งออกไว้ การนำเอาเทคโนโลยีการผลิตที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นมาใช้งานสามารถช่วยประหยัดต้นทุนได้ 5-10% ซึ่งถึงแม้จะไม่ครอบคลุมตัวภาษีทั้งหมด แต่ก็ช่วยให้มีพื้นที่ในการดำเนินกลยุทธ์อื่นได้

ธุรกิจที่เลื่อนการลงทุนในระบบอัตโนมัติออกไปอาจพบว่าภาษีนี้เป็นแรงกระตุ้นให้พิจารณาอีกครั้ง ในทำนองเดียวกัน ค่าใช้จ่ายด้านโลจิสติกส์ (ซึ่งมักจะคิดเป็น 15-20% ของต้นทุนสินค้า) เป็นอีกส่วนที่สามารถประหยัดได้อย่างมากผ่านการรวมศูนย์และการเพิ่มประสิทธิภาพ

Reimagining Supply Chains

การตอบสนองที่แข็งขันกว่านี้คือการปรับเปลี่ยนห่วงโซ่อุปทานเพื่อลดผลกระทบจากภาษี แนวทางนี้ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นจากการกระทำทางการค้าลักษณะคล้ายกันในช่วงไม่กี่ปีมานี้ ธุรกิจไทยอาจพิจารณาจัดตั้งฐานการผลิตหรือการประกอบในประเทศที่มีเงื่อนไขทางการค้าที่ดีกว่าสำหรับสหรัฐฯ เช่น เวียดนาม ซึ่งกำลังกลายเป็นฐานการผลิตทางเลือกที่ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ โดยการส่งออกไปยังสหรัฐฯ ของเวียดนามเติบโตอย่างมากในช่วงข้อพิพาททางการค้า

เพื่อนบ้านใน ASEAN เช่น มาเลเซียและกัมพูชาก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ การจัดสร้างห่วงโซ่อุปทานคู่ (dual supply chains) ที่ผลิตสินค้าเพื่อส่งออกไปยังตลาดสหรัฐฯ ผ่านฐานการผลิตในประเทศที่ได้เปรียบทางภาษี ขณะเดียวกันยังคงการผลิตในไทยสำหรับตลาดอื่นๆ เป็นอีกแนวทางที่น่าสนใจ

อีกทางเลือกหนึ่งคือการ “tariff engineering” เช่น การปรับแต่งผลิตภัณฑ์หรือกระบวนการผลิตเพื่อให้เข้าข่ายอัตราภาษีที่ต่ำลง ซึ่งต้องการการวิเคราะห์อย่างละเอียดเกี่ยวกับกฎระเบียบของศุลกากรสหรัฐฯ แต่ก็สามารถช่วยประหยัดต้นทุนได้อย่างมาก

Finding New Markets

การกระจายตลาดนอกเหนือจากสหรัฐฯ กลายเป็นสิ่งจำเป็นเชิงยุทธศาสตร์ ไม่เพียงแค่รับมือกับภาษี แต่ยังสร้างความยั่งยืนในระยะยาว ASEAN เองก็มีศักยภาพสูง ด้วยการเติบโตของการค้าภายในภูมิภาค และ RCEP (Regional Comprehensive Economic Partnership) ที่ส่งเสริมโอกาสในเอเชียแปซิฟิก

ธุรกิจไทยที่มีทีมวิจัยและพัฒนาในประเทศแข็งแกร่งอาจสำรวจตลาดเกิดใหม่ในแอฟริกาและละตินอเมริกา ซึ่งสินค้าบางประเภทของไทยเป็นที่ยอมรับในเรื่องคุณภาพและราคาที่เหมาะสม ยุโรปก็เป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ เนื่องจากไทยมีเงื่อนไขการค้าที่ดีกว่าสำหรับ EU แม้จะต้องปรับเปลี่ยนผลิตภัณฑ์ให้เหมาะกับความชอบของผู้บริโภคและมาตรฐานที่แตกต่าง

Adding Value Beyond Price

แม้เผชิญกับสภาพแวดล้อมที่ยากลำบาก อัตราภาษีใหม่นี้สร้างแรงจูงใจให้ธุรกิจไทยเดินหน้าสร้างมูลค่าเพิ่มที่ไม่พึ่งพาการแข่งขันเรื่องราคาเพียงอย่างเดียว ธุรกิจที่ลงทุนในการวิจัยและพัฒนาเพื่อเพิ่มคุณลักษณะและคุณภาพที่โดดเด่นแก่สินค้า สามารถตั้งราคาพรีเมียมช่วยลดผลกระทบจากภาษีได้

ผู้ผลิตเฟอร์นิเจอร์ไทยอาจลงทุนพัฒนาการออกแบบที่มีเอกลักษณ์และการผลิตที่ยั่งยืน ซึ่งตรงใจผู้บริโภคสหรัฐที่ให้ความสำคัญกับสินค้าที่ตอบโจทย์ค่านิยมด้านสิ่งแวดล้อม การสร้างแบรนด์ที่สะท้อนเอกลักษณ์งานฝีมือไทยแท้และวัฒนธรรมจะช่วยเสริมการวางตำแหน่งตลาดอย่างดี

ธุรกิจอาจพิจารณาการควบรวมกิจการกับสตูดิโอออกแบบ บริษัทเทคโนโลยี หรือแบรนด์ผลิตภัณฑ์ ที่ช่วยเร่งการเปลี่ยนผ่านไปสู่ตลาดที่มีมูลค่าสูงขึ้น การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้อาจต้องการการลงทุนมาก แต่จะทำให้ธุรกิจมีตำแหน่งแข่งขันที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน

The Power of Partnerships

ความร่วมมือเชิงกลยุทธ์เป็นอีกทางเลือกที่ธุรกิจไทยสามารถใช้ต่อสู้กับอัตราภาษี เช่น การร่วมมือกับบริษัทในสหรัฐฯ ที่ได้รับผลกระทบจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้น อาจนำไปสู่ความร่วมมือที่ก่อให้เกิดผลประโยชน์ร่วมกัน

ความร่วมมือในรูปแบบการอนุญาตให้ใช้สิทธิบัตร (licensing) ก็อาจเป็นอีกทางเลือกสำหรับบริษัทไทยที่มีทรัพย์สินทางปัญญาที่มีคุณค่า โดยอนุญาตการผลิตให้แก่ผู้ผลิตในประเทศที่ไม่ถูกเรียกเก็บภาษีในอัตราสูง

ในการพัฒนาความร่วมมือเหล่านี้ บริษัทไทยต้องให้ความสำคัญกับการปกป้องสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาและการควบคุมคุณภาพ การทำข้อตกลงที่ชัดเจนสามารถช่วยขยายเส้นทางการเติบโตใหม่ๆ

Leadership Through Uncertainty

การตอบสนองของผู้นำองค์กรจะกำหนดว่าธุรกิจจะอยู่รอดหรือนำพาองค์กรไปสู่ความแข็งแกร่ง โดยเริ่มจากการประเมินปัญหาอย่างไม่ลำเอียง แทนการหวังพึ่งโชค

การสร้างทีมเฉพาะกิจเพื่อประสานงานการตอบสนองเกี่ยวกับภาษีจะช่วยให้สามารถโฟกัสกับปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขณะเดียวกันธุรกิจหลักยังคงดำเนินต่อไปได้โดยไม่ติดขัด ทีมนี้ควรประกอบด้วยผู้แทนจากแผนกการเงิน ห่วงโซ่อุปทาน การขาย และกฎหมาย

ในช่วงเวลานี้ การสื่อสารมีความสำคัญสูงสุด พนักงานต้องเข้าใจถึงความท้าทายและแผนการตอบสนอง ลูกค้าและซัพพลายเออร์ควรรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้น

Turning Challenge into Transformation

การค้ากับมหาอำนาจเศรษฐกิจต้องมาพร้อมกับความระมัดระวังอย่างยิ่ง การพึ่งพิงคู่ค้ารายใดรายหนึ่งมากเกินไปนำมาซึ่งความเสี่ยง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเผชิญกับมาตรการอย่างการเก็บภาษีในอัตราสูงเช่นนี้ ประเทศอย่างไทยยังไม่เตรียมพร้อมเพียงพอที่จะรับมือกับผลกระทบที่เกิดขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่สะท้อนความเป็นจริงของการค้าสมัยใหม่

ในเวทีการค้าโลก ทุกประเทศให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ภายในของตัวเองมากขึ้น โดยไม่ได้คำนึงถึงว่าประเทศคู่ค้าเป็นประเทศพัฒนาแล้วหรือกำลังพัฒนา ความสัมพันธ์ในระดับ “โลกที่หนึ่ง” หรือ “โลกที่สาม” เริ่มสูญเสียความหมายไปในยุคนี้ เพราะแนวทางการค้าในปัจจุบันคือ “ต่างคนต่างเอาตัวรอด” การพึ่งพิงประเทศอื่นไม่เพียงสร้างภาระ แต่ยังเพิ่มความเสี่ยงอย่างมีนัยสำคัญ

ด้วยเหตุนี้ ธุรกิจไทยต้องปรับกลยุทธ์อย่างเร่งด่วนเพื่อสร้างความมั่นคงและลดการพึ่งพิงคู่ค้าหลัก แนวทางควรรวมถึงการกระจายตลาดออกไปสู่ภูมิภาคและประเทศใหม่ๆ พัฒนาขีดความสามารถภายในเพื่อแข่งขันด้วยตนเอง และลงทุนในนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ช่วยให้ธุรกิจยืนหยัดได้อย่างมั่นคง

นี่คือช่วงเวลาที่ธุรกิจไทยต้องลุกขึ้นแสดงความสามารถในการพัฒนาตนเอง ทบทวนโครงสร้างการบริหารและห่วงโซ่อุปทาน รวมถึงเสริมสร้างพันธมิตรทั้งในและต่างประเทศที่ช่วยส่งเสริมกันในระยะยาว

สำคัญที่สุดคือการสร้าง mindset ใหม่ที่ไม่พึ่งพิงความช่วยเหลือจากผู้อื่น แต่ยืนหยัดด้วยความสามารถของตัวเอง ความท้าทายนี้เป็นโอกาสที่ดีในการพัฒนา ไม่เพียงเพื่อเอาตัวรอด แต่เพื่อยกระดับคุณภาพและความสามารถของอุตสาหกรรมไทย

หากธุรกิจไทยสามารถเปลี่ยนความเสี่ยงให้เป็นแรงผลักดัน เพื่อสร้างความเป็นอิสระ ยั่งยืน และทันสมัยได้ ธุรกิจไทยจะไม่เพียงรับมือกับสถานการณ์การค้าปัจจุบันได้อย่างมั่นคง แต่ยังเปิดโอกาสสู่อนาคตที่สดใสและสามารถแข่งขันได้ในทุกเวทีการค้าโลก

Leave a Reply