“The greatest victory isn’t standing alone at the top, but reaching the summit with others beside you. True success is not just rising yourself, but lifting others as you climb.”
วิเคราะห์นโยบาย Reciprocal Tariff ของประธานาธิบดี Trump และบทบาทของภาคบริการในเศรษฐกิจโลก
จำได้สมัยที่เรียนเรื่อง Innovation อาจารย์มักจะพูดอยู่เสมอว่าถ้าดูจาก GDP หรือผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศจะมีทั้งส่วนสินค้าและบริการ ประเทศที่พัฒนาแล้วส่วนของบริการล้ำหน้าเป็นสัดส่วนที่สูงกว่าสินค้ามาก สัดส่วนของ Service ต่อ GDP ยังเป็นตัววัดถึง Knowledge Economy รวมถึงความสามารถในการสร้างนวัตกรรมของประเทศ
Service Sector ตัวอย่างเช่น Entertainment (อย่างเช่น Netflix, Apple Service) Software AI Platform การศึกษา professional service ในกรณีของประเทศอเมริกามีสัดส่วนของ GDP ที่มาจากส่วนบริการสูงกว่า 70% (ในขณะที่เมืองไทยเองมีสัดส่วน Service Sector อยู่ที่ประมาณ 58% ของ GDP) ในขณะที่ Trump พูดถึงการที่โดนประเทศอื่นเอาเปรียบด้าน Tariff ในด้านของสินค้า แต่ก็ไม่ได้พูดถึงความสามารถในการแข่งขันด้านบริการหรือด้านนวัตกรรมที่เหนือกว่าทุกประเทศ และโกยเงินเข้าประเทศอย่างเป็นล่ำเป็นสัน
ในเรื่องของ Service as a % of GDP วันนี้ทางนายกรัฐมนตรี Lawrence Wong ของสิงคโปร์ก็ออกมาพูดอย่างชัดเจน พร้อมทั้งแสดงความเป็นผู้นำของภูมิภาคที่ถึงแม้จะเรียกประเทศตัวเองว่าเป็นจุดสีแดงเล็กๆบนแผนที่โลก แต่เป็นจุดสีแดงที่มีความหวังและเป้าประสงค์ในการมีอยู่ของประเทศที่ชัดเจน ที่สำคัญที่สุดก็ได้ออกมาเตือนคนร่วมชาติว่างานนี้หนักแน่ๆ ขอให้ใช้จ่ายอย่างประหยัดได้แล้ว ในขณะที่ประเทศไทยเราออกมาฉลองยอดจองรถที่สูงจนเป็นประวัติศาสตร์ และใครจะเชื่อว่าวันนี้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ก็รูดจนไปถึง 1,070
จริงๆแล้วไม่ค่อยอยากไปเขียนเรื่องเศรษฐกิจเท่าไร เพราะเห็นคนเก่งๆเขียนกันเยอะแล้ว เดียวคงมีถอด Speech ของนายกสิงค์โปร์มาให้อ่านกันเร็วๆนี้ แต่ถ้าพอทำตัวให้เป็นประโยชน์ได้บ้าง ณ ตอนนี้อยากเขียนถึง Leadership Style รวมถึง Personality ของประธานาธิปดี Trump ไปเลยดีกว่า ด้วยความที่ทำงานเป็น Executive Coach ให้กับ Business School กับ Assessment Provider มาเป็นเวลากว่าสิบปีงานหลักก็คือการอ่าน Personality Profile ให้กับผู้บริหารในระดับ Fortune 100 มาเป็นร้อยๆคน ทำให้เห็นวิธีคิดของผู้บริหารที่โตมาใน Western Context รวมถึงจุดแข็งในวันที่ดี และจุดอ่อนที่ผู้บริหารส่วนมากควรที่จะต้องระวังเพราะถ้าไม่ระวังอาจจะกลายมาเป็น Dark-Side หรือมุมมึดของการทำหน้าที่ของผู้บริหารโดยที่เราไม่ทันได้ระวังตัว
โดยปกติแล้วเรามักที่จะคาดหวังให้ผู้บริหารระดับสูงมีสิ่งที่เรียกว่า BOLD หรือแปลตรงตัวว่าความกล้า ความกล้าในวันที่ดี เป็นสิ่งที่ดีเป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้าผู้บริหารใช้ BOLD มากไปหรือเป็นสิ่งที่ในมุมจิตวิทยาเรียกว่า Overused Strength ก็อาจจะนำพาเอาข้อเสียมาก็ได้เหมือนกัน
แต่ก่อนที่จะเริ่มขอเล่าให้ฟังถึงถึงกรณีคล้ายๆกันแต่คราวนี้ไม่ใช่เป็นผู้บริหารแต่เป็นนักกีฬา ที่มาจากกีฬาแข่งรถที่มีชื่อว่า Formula 1
The Liam Lawson Case: When BOLD Behavior Falls Short
กรณีศึกษาที่น่าสนใจอีกกรณีหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงข้อจำกัดของแนวทาง BOLD คือเรื่องของ Liam Lawson นักแข่ง F1 หน้าใหม่ชาว New Zealand ที่เพิ่งขึ้นมาขับแทนรุ่นพี่ที่เกิดขับไม่ออกจนถูกปลดออกจากทีมกระทันหันเมื่อปีที่แล้ว และเมื่อมาขับตอนท้ายๆ Season ก็ขับได้สักหกครั้งก่อนจบ Season แต่ Liam ก็แสดงความก้าวร้าวอย่างมากเมื่อปีที่แล้วขณะขับให้กับทีมน้องของทีม Red Bull
ความก้าวร้าวของเขารวมถึงการชูนิ้วกลางใส่นักแข่งอาวุโสในทีมใหญ่อย่าง Red Bull ออกอากาศมีคนดูก็หลักเกือบร้อยล้านคนทั่วโลก ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ความกล้า ความเกรียน และความมั่นใจเกินตัวของเขาทำให้เขาโดดเด่นท่ามกลางนักแข่งหน้าใหม่ และ(แอบ)สร้างความประทับใจให้กับผู้บริหารทีม Red Bull อยู่ไม่น้อย
พฤติกรรมที่ท้าทายอำนาจและความกล้าแสดงออกนี้ สอดคล้องกับแนวคิดของ “narcissistic leadership” ในจิตวิทยาองค์กร ซึ่งบุคลิกภาพแบบ narcissistic มักจะทำให้บุคคลโดดเด่นและได้รับการเลื่อนตำแหน่งในระยะแรก โดยเฉพาะในสภาพแวดล้อมที่ให้คุณค่ากับความกล้าและการแสดงออกอย่างเด่นชัด Lawson ประสบความสำเร็จในการสร้าง “agentic extraversion” ซึ่งเป็นลักษณะของการแสดงออกถึงความมั่นใจ ความทะเยอทะยาน และความก้าวร้าวที่มักจะช่วยในการเลื่อนตำแหน่ง
ผลลัพธ์เบื้องต้นดูเหมือนจะยืนยันประสิทธิภาพของสไตล์ BOLD ของเขา – Lawson ได้รับการเลื่อนตำแหน่งไปยัง Red Bull ในปี 2025 อย่างไรก็ตาม เรื่องราวไม่ได้จบลงที่นั่น เช่นเดียวกับผู้นำหลายคนที่ผมได้มีโอกาสโค้ช นั้นคือ Lawson พบว่าความกล้าและความก้าวร้าวเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอในการสร้างผลลัพธ์ตามที่ถูกคาดหวังเอาไว้ เมื่อเผชิญกับความท้าทายที่ซับซ้อนมากขึ้นและความคาดหวังที่สูงขึ้น คุณลักษณะเดียวกันที่ทำให้เขาโดดเด่นไม่สามารถทดแทนทักษะและความสามารถในการปรับตัวที่จำเป็นสำหรับความสำเร็จในระยะยาว
เช่นเดียวกับทรัมป์บนเวทีโลก Lawson ได้เรียนรู้บทเรียนที่สำคัญเกี่ยวกับข้อจำกัดของ “shock value” เขาถูกลดตำแหน่งกลับไปยังทีม B เนื่องจากผลงานที่ไม่ดีหลังจากแข่งไปได้แค่สองครั้งโดยเข้าเส้นชัยเป็นอันดับท้ายๆ แสดงให้เห็นว่าในขณะที่ความกล้าและความก้าวร้าวอาจสร้างความประทับใจให้กับผู้คนในระยะสั้น แต่ก็ไม่ได้รับประกันว่าจะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ยั่งยืน หรือว่าความก้าวร้าวนั้นจะใช้ได้ผลในบริบทที่มีความกดดันสูง
กรณีนี้เป็นตัวอย่างที่ดีของสิ่งที่นักจิตวิทยาองค์กรเรียกว่า “Icarus syndrome” ซึ่งบุคคลที่ประสบความสำเร็จจากการกล้าเสี่ยงและพฤติกรรมท้าทายอาจพัฒนาความมั่นใจเกินตัวที่นำไปสู่ความล้มเหลวในที่สุด ปรากฏการณ์นี้มักเกิดขึ้นเมื่อความสำเร็จในระยะแรกไม่ได้มาพร้อมกับการพัฒนา “emotional intelligence” และ “self-awareness” ที่จำเป็นสำหรับความสำเร็จในระยะยาว
The BOLD Framework: Understanding Trump’s Leadership Psychology
ขออนุญาตินำเสนอ Framework ที่เรียกว่า BOLD ที่ต้อง credit คุณทรัมป์ที่ทำให้ตัวเองต้องใช้ cell สมองคิด model นี้ขึ้นมา ซึ่งถ้าจะแปลตรงตัวก็คงแปลว่าความกล้า แต่ BOLD เองมีความหมายเฉพาะในตัวอักษรในแต่ละตัวที่มาจากแนวคิดเรื่องบุคลิกลักษณะของแต่ละคำว่า
B – Bold or Bravery ความกล้า ความบ้าบิ่น
O – Overconfident ความมั่นใจสูงเกิน
L – Leverage การมีอิทธิพลเหนือ การได้เปรียบ
D – Delusion ความเชื่อที่ผิด การเข้าข้างตัวเอง
ตามแนวของจิตวิทยาผู้นำองค์กร เราสามารถอธิบายบุคลิกลักษณะของแต่ละคำรวมถึงจุดแข็ง รวมถึงจุดสิ่งต้องระวังก่อนที่จะพังดังนี้
B – Bold (or Brave)
จุดแข็งเมื่อใช้อย่างเหมาะสม:
ผู้นำที่ประสบความสำเร็จหลายคนแสดงความกล้าหาญ—ความเต็มใจที่จะเสี่ยง ท้าทายความคิดที่มีอยู่ และดำเนินการตามแนวทางที่ไม่เคยมีมาก่อน ในการโค้ชผู้บริหารระดับ C-suite ผมได้เห็นว่าลักษณะนี้ช่วยให้เกิดนวัตกรรมและการเปลี่ยนแปลงตลาดอย่างมีนัยสำคัญ ความกล้าหาญที่ดีสร้างแรงบันดาลใจให้องค์กร ทำลายความเฉื่อยชา และเปิดประตูสู่โอกาสที่คนส่วนใหญ่มองไม่เห็น
ความกล้าหาญของทรัมป์แสดงออกในความเต็มใจที่จะทำลายบรรทัดฐานทางการทูตและท้าทายข้อตกลงการค้าระหว่างประเทศที่มีมายาวนาน แนวทางของเขาในด้านความสัมพันธ์ทางการค้าแสดงถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่จากนโยบายของอเมริกาที่มีมาหลายทศวรรษ ความกล้าหาญนี้สร้างความสนใจให้กับผู้สนับสนุนที่เชื่อว่าแนวทางแบบดั้งเดิมได้ล้มเหลวในการช่วยเหลือแรงงานและอุตสาหกรรมอเมริกัน
จุดบอดเมื่อใช้มากเกินไป:
อย่างไรก็ตาม เมื่อความกล้าหาญดำเนินไปโดยปราศจากการพิจารณาเชิงกลยุทธ์อย่างเพียงพอ มันสามารถเปลี่ยนเป็นการหุนหันพลันแล่นได้ ความกล้าหาญที่มากเกินไปกลายเป็นความบ้าบิ่น การท้าทายบรรทัดฐานอาจกลายเป็นการทำลายสะพานแห่งมิตรภาพที่จำเป็น และความกล้าเสี่ยงอาจเปลี่ยนเป็นการพนันที่ไร้ความรับผิดชอบ ซีอีโอหลายคนที่ผมได้โค้ชต้องเรียนรู้อย่างยากลำบากว่าการเคลื่อนไหวที่กล้าหาญต้องการการวิเคราะห์ผลกระทบอย่างระมัดระวังต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหลายฝ่าย—บทเรียนที่ใช้ได้อย่างสำคัญยิ่งบนเวทีโลกซึ่งความเสียหายจากการตัดสินใจที่หุนหันพลันแล่นอาจกระทบหลายประเทศและหลายชั่วอายุคน
O – Overconfident
จุดแข็งเมื่อใช้อย่างเหมาะสม:
ความมั่นใจเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับภาวะผู้นำ มันสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้ติดตามและสร้างแรงผลักดันเพื่อการเปลี่ยนแปลง ผู้นำที่มั่นใจสามารถตัดสินใจได้อย่างรวดเร็วเมื่อจำเป็น ไม่ลังเลเมื่อต้องเผชิญกับความไม่แน่นอน และสร้างความมั่นใจให้กับทีมในช่วงเวลาแห่งวิกฤต ความมั่นใจที่ดีทำให้คนอื่นเชื่อในวิสัยทัศน์และความเป็นไปได้ แม้ในยามที่เส้นทางข้างหน้าจะไม่ชัดเจน
คำกล่าวของทรัมป์เกี่ยวกับสงครามการค้าที่ “ชนะได้ง่าย” และความมั่นใจของเขาเกี่ยวกับประสิทธิผลของภาษีศุลกากรในฐานะเครื่องมือการเจรจาสะท้อนถึงความมั่นใจสูงนี้ ความมั่นใจดังกล่าวช่วยสร้างภาพลักษณ์ของผู้นำที่เด็ดขาดและมีวิสัยทัศน์ชัดเจน
จุดบอดเมื่อใช้มากเกินไป:
แต่มีจุดหักเหที่ความมั่นใจที่ดีกลายเป็นความมั่นใจเกินตัวที่เป็นปัญหา—รูปแบบที่ผมสังเกตเห็นซ้ำแล้วซ้ำเล่าในผู้นำจากหลากหลายภาคส่วน เรามักจะเห็นว่าความมั่นใจที่มากเกินไปนำไปสู่การประเมินความเสี่ยงต่ำเกินไป การปฏิเสธข้อมูลสำคัญ และความเชื่อผิดๆ ว่าตนเองรู้ดีกว่าผู้เชี่ยวชาญ (หรือไม่ต้องการผู้เชี่ยวชาญในที่สุด) สิ่งนี้สะท้อนสิ่งที่ผมเห็นในผู้บริหารซึ่งหลังจากประสบความสำเร็จในบริบทหนึ่งแล้ว พวกเขารู้สึกว่าความเชี่ยวชาญของตนขยายไปทุกด้านโดยไม่มีข้อจำกัดและสามารถมองเห็นในสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็น ทำในสิ่งที่เห็นอื่นไม่สามารถทำให้สำเร็จได้ ยิ่งในระดับนานาชาติ ความมั่นใจเกินตัวอาจนำไปสู่การตัดสินใจที่ไม่คำนึงถึงความซับซ้อนของระบบเศรษฐกิจโลกและผลกระทบข้ามพรมแดน
L – Leveraging
จุดแข็งเมื่อใช้อย่างเหมาะสม:
ผู้นำที่มีประสิทธิภาพใช้ประโยชน์จากอารมณ์ ความกังวล เพื่อระดมการสนับสนุน การ Leverage ที่ดีคือความสามารถในการมองเห็นความเชื่อมโยงระหว่างความห่วงกังวลของผู้คนกับเป้าหมายในวงกว้าง และใช้ความเข้าใจนั้นเพื่อสร้างแรงจูงใจเชิงบวก ความสามารถนี้ช่วยให้ผู้นำสื่อสารวิสัยทัศน์ที่มีพลังและเชื่อมต่อกับผู้คนในระดับที่ลึกกว่า
ทรัมป์แสดงความสามารถที่โดดเด่นในการระบุและเชื่อมโยงความวิตกกังวลทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะเกี่ยวกับการสูญเสียงานในภาคการผลิตและการขาดดุลการค้า เขาเชื่อมต่อกับผู้ฟังโดยการยืนยันความกังวลเหล่านี้และสัญญาว่าจะมีการดำเนินการโดยตรง ความสามารถนี้ช่วยให้เขาสร้างความเชื่อมโยงกับประชาชนที่รู้สึกว่าถูกละเลยจากระบบการเมืองแบบเดิม
จุดบอดเมื่อใช้มากเกินไป:
ผมได้โค้ชผู้บริหารหลายคนที่มีความสามารถคล้ายกัน—พวกเขาเข้าใจสัญญาณทางอารมณ์ของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียโดยสัญชาตญาณและใช้ประโยชน์จากสิ่งเหล่านี้เพื่อสร้างพันธมิตรเพื่อการเปลี่ยนแปลง อย่างไรก็ตาม ทักษะนี้จะกลายเป็นปัญหาเมื่อมันถูกใช้เพื่อเอาประโยชน์จากความกลัวแทนที่จะจัดการกับความเป็นจริงพื้นฐาน เมื่อใช้มากเกินไป การ Leverage กลายเป็นการจัดการแบบชักใย (manipulation) ที่อาศัยการปลุกเร้าความกลัวหรือความโกรธมากกว่าการสร้างแรงบันดาลใจและความหวัง
จากมุมมองทางจิตวิทยา การใช้ประโยชน์นี้เชื่อมโยงกับสิ่งที่ Daniel Kahneman เรียกว่า “System 1 thinking”—ระบบการตอบสนองทางอารมณ์และสัญชาตญาณที่มักจะแทนที่การใช้เหตุผลที่ละเอียดรอบคอบมากกว่า รูปแบบการสื่อสารของทรัมป์กระตุ้นระบบนี้อย่างมีประสิทธิภาพ สร้างความผูกพันทางอารมณ์ที่แข็งแกร่งกับผู้สนับสนุนในขณะที่อาจหลีกเลี่ยงการวิเคราะห์ที่มีความละเอียดอ่อนมากกว่า ในด้านนโยบายการค้าระหว่างประเทศ การ Leverage ความกลัวเช่นนี้อาจนำไปสู่การสนับสนุนนโยบายที่ตอบสนองต่อความวิตกกังวลในระยะสั้นแต่ทำลายความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในระยะยาว
D – Delusional (or Disconnected from facts)
จุดแข็งเมื่อใช้อย่างเหมาะสม:
ความเชื่อมั่นอย่างแรงกล้าในวิสัยทัศน์และความถูกต้องของเส้นทางที่เลือกสามารถเป็นคุณลักษณะที่มีคุณค่าสำหรับผู้นำ การไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรคและความสามารถในการมองเห็นโอกาสที่คนอื่นมองข้ามเป็นสิ่งสำคัญสำหรับนวัตกรรมและการเปลี่ยนแปลง ความเชื่อมั่นที่แน่วแน่ช่วยให้ผู้นำยังคงมุ่งมั่นในช่วงเวลาที่ยากลำบากและนำพาทีมผ่านความไม่แน่นอน
ในแง่หนึ่ง ความมุ่งมั่นของทรัมป์ต่อวิสัยทัศน์ของเขาเกี่ยวกับการค้าระหว่างประเทศทำให้เขาสามารถท้าทายสมมติฐานที่มีมายาวนานและสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ผู้นำแบบเดิมอาจไม่กล้าดำเนินการ
จุดบอดเมื่อใช้มากเกินไป:
บางทีแง่มุมที่น่ากังวลที่สุดของกรอบ BOLD คือแนวโน้มสู่ความหลงผิด—การต่อต้านข้อมูลที่ขัดแย้งกับเรื่องราวที่ตนเองชอบ ลักษณะนี้แสดงออกเมื่อผู้นำยึดมั่นกับวิสัยทัศน์ของตนมากจนหลักฐานที่ขัดแย้งถูกปฏิเสธหรือตีความใหม่ เส้นแบ่งระหว่างความเชื่อมั่นที่แรงกล้ากับการตัดขาดจากความจริงนั้นบางมาก และผู้นำที่มีอำนาจมักข้ามเส้นนั้นโดยไม่รู้ตัว
การยืนยันของทรัมป์ว่าการขาดดุลการค้าเป็นเพียง “การสูญเสีย” ทั้งที่นักเศรษฐศาสตร์มีความเข้าใจที่ละเอียดอ่อนกว่านั้น เป็นตัวอย่างของการขาดการเชื่อมโยงนี้ การยืนยันอย่างต่อเนื่องของเขาว่าภาษีศุลกากรถูกจ่ายโดยประเทศต่างๆ มากกว่าผู้บริโภคในประเทศแสดงให้เห็นรูปแบบที่คล้ายกัน ความหลงผิดเช่นนี้นำไปสู่นโยบายที่ตั้งอยู่บนความเข้าใจที่บิดเบี้ยวของความเป็นจริงทางเศรษฐกิจ
ผมเคยทำงานกับผู้บริหารที่ฉลาดหลักแหลมซึ่งพัฒนา “reality distortion fields” ที่ในตอนแรกขับเคลื่อนนวัตกรรม แต่ในที่สุดก็นำไปสู่ความผิดพลาดเชิงกลยุทธ์เมื่อความเป็นจริงของตลาดถูกละเลย เมื่อผู้นำสร้างสภาพแวดล้อมที่ข้อมูลที่ขัดแย้งกับโลกทัศน์ของพวกเขาไม่เป็นที่ต้อนรับ คุณภาพการตัดสินใจย่อมลดลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในระดับนานาชาติ การตัดขาดจากความจริงนี้อาจนำไปสู่การประเมินที่ผิดพลาดเกี่ยวกับปฏิกิริยาของประเทศอื่นๆ ความซับซ้อนของห่วงโซ่อุปทานโลก และผลกระทบระยะยาวของมาตรการกีดกันทางการค้า
When Strengths Become Weaknesses
การวิจัยทางจิตวิทยาแสดงให้เห็นว่าจุดแข็งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเรา เมื่อใช้มากเกินไป มักจะกลายเป็นจุดอ่อนที่สำคัญที่สุด ปรากฏการณ์นี้ บางครั้งเรียกว่า “strengths paradox” อธิบายได้ว่าทำไมแนวทางผู้นำที่มีประสิทธิภาพในตอนแรกจึงอาจกลายเป็นการทำลายตัวเองในที่สุด
แนวทาง BOLD ของทรัมป์ได้ผลดีในบางบริบท—มันทำให้เขาแตกต่างทางการเมือง กระตุ้นฐานผู้สนับสนุน และสร้างอำนาจต่อรองในความสัมพันธ์ทวิภาคีบางแห่ง อย่างไรก็ตาม ในระบบนิเวศที่ซับซ้อนของการค้าโลก คุณลักษณะเดียวกันนี้อาจสร้างผลที่ไม่ได้ตั้งใจให้เกิดขึ้น
ผู้บริหารหลายคนที่ผมได้โค้ชแสดงรูปแบบที่คล้ายคลึงกัน—คุณลักษณะที่ช่วยให้พวกเขาก้าวหน้าอย่างรวดเร็วกลายเป็นข้อจำกัดที่ขัดขวางการเติบโตต่อไป ซีอีโอที่เด็ดขาดกลายเป็นคนแข็งกร้าว ผู้มีวิสัยทัศน์กลายเป็นคนแยกตัวจากความเป็นจริงในการปฏิบัติงาน นักสื่อสารที่น่าเชื่อถือเริ่มใช้การบิดเบือนแทนที่จะสร้างแรงบันดาลใจ
สรุป
สไตล์ผู้นำแบบ BOLD ของทรัมป์—Bold, Overconfident, Leveraging, และ Delusional
ในเศรษฐกิจโลกที่เชื่อมโยงกันในปัจจุบัน แนวทางผู้นำที่สร้างความสมดุลระหว่างความกล้าหาญกับปัญญา ความมั่นใจกับความถ่อมตัว และความเด็ดขาดกับการพิจารณาอย่างรอบคอบจะมีประสิทธิภาพมากกว่าแนวทางที่พึ่งพาพลังของบุคลิกภาพและกลยุทธ์การกดดันเป็นหลักหรือบางประเทศใช้คำว่า Bully กันแล้ว
เป็นเรื่องที่น่าเสียดายตรงที่ว่า ถ้าเราเริ่มที่จะสร้างกำแพงกีดกั้นผู้อื่น โดยที่คิดแต่ว่าจะอยู่เป็นที่หนึ่งคนเดียว จนถึงวันนั้นอาจจะไม่เหลืออะไรเลยก็ได้ แม้แต่มิตรภาพรวมถึงความฉลาดที่สามารถฉุกคิดเองได้ว่า ไม่เคยมีครั้งไหนในประวัติศาสตร์ของโลกที่ Technology สามารถสร้างสรรค์นวัตกรรมในระดับที่เราไม่เคยคาดคิดถึงมาก่อน แต่กลับทำให้จิตใจคนเราคับแคบโดยไม่คิดถึงคนอื่นไปได้อย่างไร
ฝากไว้สำหรับทีมต่อรอง (จะถึงไหมเนี่ย)
ในระยะแรกถ้าจะต่อรองกับ Trump อย่าเอา Bold ที่เราไม่มีไปงัดกับเขา ถึงแม้ว่านักการเมืองในประเทศเราอยากได้ Casino มาก แต่ถ้าเราไม่มีอะไรจะไปต่อรองกับเขา อย่าไปบลัฟเขาเลย อย่าออกตัวก่อน ลองดูกลยุทธ์ที่ประเทศอื่นเปิดไปก่อน อย่างเวียดนามไปบอกว่าลด Tariff ให้เหลือศูนย์แล้วยังไม่พอใจอีก จีนก็แข็งกร้าวใส่ก็โดนมาตรฐานตอบโต้กลับอย่างรุนแรงและทันควัน
ในระยะที่สองให้ลองดูตลาดใหม่ไว้ก่อน Modernize ระบบการผลิต รวมถึงการสร้างมูลค่าเพิ่มผ่านขบวนการ Servitization หรือการเอาภาคบริการเข้ามารวมใน Value Chain แนวคิดในเรื่องหวังแค่เป็นฐานการผลิตใช้ไม่ได้อีกต่อไปแล้วในอนาคต
ระยะที่สามอาจจะต้องเพื่อว่าถ้าโลกเข้าสู่กระแสการกีดกันทางการค้ากันหมด ก็คงต้องอาศัยการผูกมิตรกับประเทศอื่น ลดการพึ่งพาประเทศอื่น แล้วหันกลับมาสร้างความมั่นคงอย่างพอเพียงเท่าทีได้ภายในประเทศหรือภูมิภาคของเราเอง เพื่อใจไว้ด้วยว่าเกมส์อาจจะผลิกเป็นร่วมมือกันอีกที จูบปากแล้วจูงมือกันต่อ เพราะถ้าจีนเกิดงัดกับอเมริกากันจริงๆประชากรทั้งสองประเทศคงเสียประโยชน์ทั้งคู่
อย่างไรก็ตามสไตล์ Trump ไม่ยอมแพ้เกมส์นี้แน่นอน อย่างมากก็พาลงไปด้วยกัน อย่าลืมว่าเข้ายังมี 70% ของ GDP ที่มาจาก Service ถ้าลากกันยาวๆ ประเทศอย่างเราน่าจะเจ็บหนักครับถ้าไม่ทำอะไรกันเลย
ดร. ณัฐวุฒิ กุลนิเทศ