Global Trends and Business Implications for Next Gen. Leaders

‘A family doesn’t have to be perfect it just needs to be united.’

ขอขอบคุณทาง Kiatnakin Phatra ที่ให้เกียรติเชิญมาบรรยายในหลักสูตร neXt GEN Leadership ที่กลุ่มผู้เรียนเป็นทายาทของ Family Business กว่า 60 กว่าท่าน วันนี้มาผู้ในเรื่อง Global Trends และ Business Implications ก่อนอื่นชวนน้องๆคิดว่าถ้าปีนี้เป็นปี 2024 การทำธุรกิจของครอบครัวยังเหมือนอยู่กับปีไหน อาจจะไม่ต้องคาดเดาคำตอบให้เสียเวลาว่ายังตามหลังอยู่เป็น 10-20 ปี เห็นตอนแรกน้องๆนั่งฟังกันเงียบๆจนไม่แน่ใจว่าเนื้อหาที่เตรียม content มาเหมาะสมใหมแต่พอให้ทำงานกลุ่มเห็นพลังงานและไอเดียมากมายประทับใจมาก จนอดเอามาเล่าให้ฟังไม่ได้ครับ 

ถ้าเป็นรุ่นสอง รุ่นสาม นอกเหนือจากเรื่องของการจัดการ Family Business ของตัวเองแล้ว ยังมีปัจจัยอีกมากมายที่เข้ามากระทบกับการทำธุรกิจ วันนี้สรุปปัจจัยหลักๆมาสักห้าข้อตามเวลาที่มี

1. Shifting Economic Power

เศรษฐกิจของโลกเคลื่อนตัวมาทางตะวันออกมาสักพักใหญ่แล้ว แล้วจะเคลื่อนต่อต่อไปอีกหลายสิบปี ประเทศสามประเทศที่จะมีอิทธิพลในเรื่องของกำลังซื้อที่ติดอยู่ใน Top-5 ในปี 2040 สามประเทศอยู่ในเอเชียนั้นคือ จีน อินเดีย และอินโดนีเซีย แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในบ้านเราคือ เรายังดูเหมือนเป็นฝ่ายตั้งรับมากกว่า ความรู้ความเข้าใจในกลุ่มลูกค้าเพื่อนบ้านเรายังมีอยู่น้อยมาก

2. Climate Change and Resource Scarcity

คงไม่มีใครที่ไม่เชื่อเรื่อง Climate Change อีกต่อไปเพราะทุกคนต่างประสบเรื่องสภาวะอากาศที่รุนแรงด้วยตัวเอง ในประเทศไทยเองในไม่กี่เดือนเราโดนสภาพที่ร้อนจัด ฝนตกหนัก นำ้ท่วม ทั้งนี้ยังไม่นับถึงสิ่งที่เกิดรอบโลก หิมะที่ละลาย global warming เราพาโลกมาถึง point of no return อุณหภูมิของโลกร้อนขึ้นทุกปี ต้นทุนการทำธุรกิจก็สูงขึ้น ผู้ขึ้นมองไปในอนาคตที่ทำไปด้วยความไม่แน่นอนด้วยความหดหู่

3. Technological Breakthrough

Technology เปิดโอกาสให้กับองค์กรที่มีความพร้อมซึ่งกระจายตัวอยู่ไม่กี่องค์กรในโลก ไนอนาคตอันใกล้คนรวยในระดับ 1% ของโลกจะเป็นครอบครองความมั่งคั่งของโลกกว่ามากครึ่งหนึ่งทีเดียว ในวันที่ Apple 16 เปิดตัวพร้อมทั้ง Apple Intelligence ทำให้เราคาดเดาได้เลยว่า AI จะแทรกตัวอยู่กับการทำทุกกิจกรรมของเรารวมถึงการใช้ชีวิตของเราที่พึ่งพา technology นี้มากขึ้นและเร็วขึ้น ในตั้งแต่เด็กเล็กๆจนอดเป็นห่วงไม่ได้ว่าเรากำลังทอดทิ้งทักษะในการเรียนรู้ literacy แล้วยกความสามารถในการคิดไปให้ AI ไปทั้งหมดหรือเปล่า

4. Demographics and Social Change

เมืองไทยเข้าสู่ยุค Aging Society ตามญี่ปุ่นไปติดๆ ในขณะที่อายุกลาง (Median Age) ของเราอยู่ที่ 40 ปี ของเพื่อนบ้านเราอย่างเวียดนามอยู่ที่ 32 ปี Philippines อยู่ที่ 25 ปี ทำให้อดคิดไม่ได้ว่าทำธุรกิจกับคนสูงวัยอาจจะไม่มันและ dynamic เท่ากับประเทศที่ขับเคลื่อนไปด้วยพลังของคนรุ่นใหม่ อีกทั้งคนรุ่นใหม่ไม่อยากมีลูก ที่จะหวังคนรุ่นใหม่มาทำงานเลี้ยงคนสูงวัย คนรุ่นใหม่บอกไม่เอา 

5. Rapid Urbanization

อีกไม่นานประชากรในโลกเกือบ 50% จะอยู่ในเมืองซึ่งไม่ต้องคาดเดาถึงปัญหาโครงสร้างที่จะตามมา ประมาณการกันว่ากว่าหนึ่งในสี่ของประชากรอาจจะต้องอยู่ในสลัมหรือที่ๆมีสุขภาวะที่ไม่เหมาะสม รวมทั้งเมืองอาจจะมี GDP ที่สูงกว่าประเทศเลยก็ได้ ทำให้เกิดคำถามที่ว่าเมื่อเมืองหามาได้มากแล้วทำไหมต้องเอาส่วนที่หามาได้ไปที่ท้องถิ่นอื่น การเรียกร้องที่จะให้เมืองเป็นรัฐหรือพื้นที่ปกครองพิเศษอาจจะเกิดขึ้นได้บ่อยขึ้นและง่ายขึ้น รวมถึงอัตลักษณ์ของคนในชุมชนเดียวกัน อาจจะละลายหายไปเกิดการเป็น Unity ของ Mega City ที่มี Consumption Pattern ที่คล้ายกันจนกำหนด Agenda แทนชุมชานอื่นไปด้วยก็ได้

เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาทาง IMD ได้ออกรายงานเรื่อง World Talent Ranking ถ้ายังจำกันได้ เมื่อตอนต้นปีเรายังออกมาดัีใจกันใหญ่ว่าความสามารถในการแข่งขันของประเทศขยับขึ้นมา 5 อันดับมาอยู่ที่อันดับที่ 25 Ranking ที่สะท้อนถึงระดับความสามารถในการแข่งขันกันในอนาคตอย่าง Talent Ranking ที่เราหล่นมาอยู่ที่อันดับ 47 (จาก 64 ประเทศ) หรือ Ranking อีกตัวหนึ่งที่เรียกว่า Digital Competitive Ranking ทีเราอยู่อันดับ 34 โดยมีตัวชี้วัดย่อยที่มีชื่อว่า Future Readiness ที่เราหล่นมาที่อันดับ 42 ทำให้อดเป็นห่วงไม่ได้ว่าเราจะแข่งยังไงในอนาคต 

Global Trends ที่ว่าไม่ใช่เรื่องใหม่ ที่เราใช้เวลาคุยกันมาไม่ควรจะเป็นเรื่อง Content of Change ที่เรารู้ดีอยู่แล้ว แต่ควรจะเป็นเรื่อง Context of Change ที่ส่งผลกระทบให้กับ Family Business รวมถึงจุดแข็งและจุดขายที่ธุรกิจเคยมีมากกว่า สุดท้ายขอสรุปว่าในคำว่าวิกฤตมีทั้งโอกาสและความน่ากลัวผสมกันนั้นเอง

ดร.เอ ณัฐวุฒิ กุลนิเทศ